In Puglia with Strangers — A Lecce con Andrea

อันเดรีย (Andrea) มารับฉันที่สถานีรถไฟในเมืองเลชเช่ (Lecce) แบบตรงต่อเวลาสุดๆ ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อได้รู้ทราบว่าเขาเคยทำงานอยู่ที่เยอรม...

อันเดรีย (Andrea) มารับฉันที่สถานีรถไฟในเมืองเลชเช่ (Lecce) แบบตรงต่อเวลาสุดๆ ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อได้รู้ทราบว่าเขาเคยทำงานอยู่ที่เยอรมนีถึงห้าปี

เขาไปหนึ่งในโฮสหลายคนในแถบซาเลนโต้ที่ฉันติดต่อผ่าน Couchsurfing รวมไปถึงแฟนสาวมานูเอล่า (Manuela) ที่อยู่ในเมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของซาเลนโต้ พวกเขาทั้งสองคนตกลงที่จะโฮสฉันที่บ้านของมานูเอล่า แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้นครอบครัวของเธอต้องขับรถไปฝรั่งเศสกระทันหัน เนื่องจากลุงที่อาศัยอยู่ที่นู่นป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนได้รับข้อความจากเธอ ฉันได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาอีกแล้ว มีเรื่องให้ลุ้นอีกแล้วไง’ แต่เธอบอกว่าน่าจะกลับมาทันก่อนที่ฉันจะมาถึง ช่วงนี้ถ้ามีอะไรให้ติดต่ออันเดรียไปก่อน

พอได้คุยกับอันเดรีย เขาเลยเสนอให้ฉันอยู่เที่ยวเลชเช่สักวันสองวัน ก่อนที่ออกเดินทางต่อไปยัง the deep South



ฉันไม่คิดว่าเขาจะขับรถมารับฉัน แต่หลังจากวันสองวันในซาเลนโต้ ฉันก็เริ่มชินกับการนั่งรถ อันเดรียบอกว่า คนที่นี่จะไปไหนมาไหนก็ใช้รถกันซะเป็นส่วนมาก ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไหร่เลย

เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์แห่งนี้เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ทุกอย่างเลยยังดูว่างๆ อยู่บ้าง เป็นสาเหตุที่เขาไม่ค่อยอยากโฮสเท่าไหร่ เพราะที่ทางยังไม่ค่อยพร้อม ห้องนอนอีกห้องยังไม่มีเตียง ฉันเลยต้องนอนบนโซฟาเบด แต่สำหรับฉันแล้ว ที่นี่มีครบทุกอย่างเลยล่ะ

อันเดรียอาจจะเป็นโฮสที่ระมัดระวังและคิดถึงความคิดของผู้อื่นที่สุดที่ฉันเคยเจอมาเลยก็ได้ นั่นคงจะเป็นเพราะเขาเดินทางมาเยอะ และได้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนทางวัฒนธรรมระหว่างยุโรปและเอเชีย เขาจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ บอกฉันตั้งแต่แรกว่าหากมีอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจให้บอกได้เลย หารู้ไม่ว่าฉันปรับตัวเร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี ตอนนี้ก็ชินกับวัฒนธรรมแบบอิตาเลียนไปแล้ว

ฉันอาบน้ำสระผมเรียบร้อย รู้สึกว่าตัวเองกลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนคนปกติอีกครั้ง ก่อนที่เราจะออกไปเดิมชมเมืองเลชเช่ด้วยกัน

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะมันเป็นคืนวันพฤหัส หรืออุณหภูมิที่ลดต่ำลง ทำให้ชาวเมืองนี้ตัดสินใจที่จะอยู่บ้าน เลชเช่คืนนี้เลยค่อยข้างเงียบสงบไร้ผู้คน



บนถนนเล็กๆ ยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและโบสถ์สไตล์บาโรค (Baroque) ภายใต้แสงไฟสีเหลืองช่างมีสเน่ห์เหลือเกิน

อันเดรียหาฉันเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ พร้อมเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองเก่าสไตล์บาโรคแห่งนี้ ก่อนที่เรานั่งลงบนโต๊ะข้างฮีทเตอร์ที่บาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง เขาจัดการสั่งไวน์และอาหารให้เราสองคน (เพราะฉันไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว) ฉันจิบ Primitivo ไวน์ขึ้นชื่อรสชาติดีของแถบซาเลนโต้ แกล้มกับ frisellini ชีส burrata มะเขือเทศลูกเล็กกับน้ำมันมะกอกกลิ่นหอม




หลังจากย้ายไปเรียนมหาลัยที่เมืองปิซ่า (Pisa) เก้าปี ทำงานเป็นวิศวกรเครื่องบินที่ฮัมบูร์ก (Hamburg) ห้าปี และออกเดินทางท่องเที่ยว (เกือบ) รอบโลกปีกหนึ่งปี เขาตัดสินใจกลับมาปักหลักอยู่ที่เลชเช่อีกครั้ง ปีแรกที่กลับมา เขาจัดมีตติ้งของ Couchsurfing ทุกสัปดาห์ และได้มารู้จักกับมานูเอล่าผ่านมีตติ้งนี้นั่นเอง

ผ่านบทสนทนาบนโต๊ะอาหาร ฉันรับรู้ได้ถึงความเป็น Southern Italian และเยอรมันของเขา ที่จริงแล้วสองประเทศนี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว



เช้าวันรุ่งขึ้น เราลงไปกิน pasticiotti ขนมขึ้นชื่อของเลชเช่เป็นอาหารเช้าที่บาร์ใต้อพาร์ตเม้นต์ของเขา ฟังดูธรรมดาแต่บาร์นี้ทำขนมเองทุกอย่าง แม้กระทั้งครัวซองและ pastry cream ไม่แปลกใจเลยที่ pasticiotto ที่ฉันได้กินในเช้าวันนี้ จะรสชาติดี ยังกรอบและอุ่นๆ เหมือนเพิ่งออกจากเตาอบ ไม่ต่างจากครัวซองสอดไส้น้ำผึ้งที่ฉันกินเป็นอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น

บาร์เล็กๆ นอกเมือง ที่ฉันมั่นใจว่าถ้ามาเลชเช่อีกครั้งก็จะเดินออกมากิน pasticciotto ที่นี่เนี่ยแหละ

ฉันเดินเล่นรอบเมืองทั้งวัน กลับไปกินข้าวกลางวันที่บ้านกับอันเดรีย แล้วออกไปเร่ร่อนอีกครั้ง ฉันชอบเลชเช่ยามค่ำคืนมากกว่าตอนกลางวัน อาจจะเป็นเพราะมันเงียบสงบกว่า หรือไม่ก็เพราะมีคนให้คุยด้วยก็ไม่รู้

เพราะว่ามานูเอล่าต้องไปทำงานในเช้าวันเสาร์ ฉันเลยตัดสินใจอยู่เลชเช่ต่ออีกหนึ่งคืนตามที่อันเดรียเสนอ ก่อนที่เขาจะขับรถพาฉันไปส่งที่บ้านของมานูเอล่า แล้วพาแวะเที่ยวระหว่างทางไปด้วย

มานูเอล่าเสนอจะขับรถขึ้นมารับฉัน ส่วนอันเดรียก็เสนอจะขับรถไปสั่ง ทั้งๆ ที่มีรถไฟระหว่าง Lecce กับ Tricase ฉันมาเข้าใจเมื่อได้รู้ว่ารถไฟใช้เวลากว่าสองชั่วโมง (ถ้าไม่เลท) ในขณะที่ถ้านั่งรถนั้นแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว

นี่มันประเทศไทยชัดๆ

อาจจะเป็นนิสัยของคนทางใต้ ที่อยากให้นักท่องเที่ยวได้เห็นความงดงามของบ้านเกินตนเอง ไม่ต่างอะไรจากคนไทยเท่าไหร่นัก เขาขับรถเลียบทะเลลงใต้ พาฉันแวะ Lago di Bauxite ทะเลสาบเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยดินสีแดง และเดินลัดเลาะโขดหินริมทะเล ที่น้ำใสสีฟ้าเป็นประกายน่ากระโดดลงไปว่ายเล่น (เสียดายยังหนาวอยู่) มันฟ้า ใส และสะอาดเกินคำบรรยาย



ฉันรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้มาอยู่ที่นี่ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ลมเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้า มองออกไปยังเส้นขอบฟ้า ไกลสุดลูกหูลูกตา

และได้มาพบเจอคนดีๆ แบบนี้ ตลอดเวลาสองวันที่อยู่กับอันเดรีย เขาดูแลฉันอย่างดี เหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง แล้วพาฉันมาส่งถึงมือแฟนสาวและครอบครัวของเธออย่างปลอดภัย

การดูแลที่ได้รับ ฉันจะไม่มีวันลืม

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images