อาสาสมัครต่างประเทศ เลือกไปที่ไหนยังไงดี

หลังจากที่ฉันได้ไปเป็น volunteer ผ่านเว็บไซต์ทั้ง WWOOF และ Workaway มาพอสมควรแล้ว เจอมาทั้งโฮสดีมาก งั้นๆ และแบบที่ไม่ชอบจนตัดสินใจออกมาก่...


หลังจากที่ฉันได้ไปเป็น volunteer ผ่านเว็บไซต์ทั้ง WWOOF และ Workaway มาพอสมควรแล้ว เจอมาทั้งโฮสดีมาก งั้นๆ และแบบที่ไม่ชอบจนตัดสินใจออกมาก่อน เห็นว่าหลายคนสนใจอยากไปเป็นอาสาสมัครแบบนี้ แต่ยังไม่กล้า อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมจากคนที่เคยไปมาแล้วก่อน เลยอยากมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเล็กน้อย แนะนำว่าก่อนจะตัดสินใจไปที่ไหน ควรดูอะไรบ้าง และสิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนตกลงจะไปทำงานกับโฮสต่างๆ





เว็บอะไรดี?

หลักๆ เลยมีสามเว็บที่ฉันรู้จัก คือ Wwoof, Workaway และ Helpx สามเว็บนี้แตกต่างกันอย่างไร?

สิ่งที่ Wwoof แตกต่างจาก Workaway และ Helpx หลักๆ มีอยู่สองอย่าง คือวูฟนั้นเป็นองกรณ์อิสระ แต่ละประเทศมีเงื่อนไข กฎเกณฑ์แตกต่างกัน มีเว็บไซต์เฉพาะเป็นของประเทศตัวเอง เพราะฉะนั้นข้อเสียของวูฟคือสมัครสมาชิคแยกกันเป็นประเทศไป ในขณะที่ Workaway และ Helpx นั้นสมัครครั้งเดียวสามารถติดต่อโฮสได้ทั่วโลก และสองเว็บไซต์นี้ อาสาสมัครสามารถทิ้งรีวิวไว้ให้โฮสได้ ทำให้สมาชิกคนอื่นเห็นฟีดแบคจากคนที่ได้ไปอยู่ในที่นั้นๆ มาแล้ว เป็นส่วนช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


อีกอย่างหนึ่งคือ วูฟนั้นจะจำกัดเฉพาะโฮสที่เป็นฟาร์ม และออร์แกนิคเท่านั้น ในขณะที่อีกสองเว็บไซต์จะมีงานหลากหลายทุกรูปแบบ ทั้งดูแลบ้าน ทำงานในเกสต์เฮ้าส์ โฮสเทล ร้านอาหาร กิจกรรมชุมชน โปรเจคต์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งสอนภาษาเด็ก งานฟาร์มปลูกผักก็มีเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสนใจอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า หรือตั้งใจจะไปประเทศไหนอยู่แล้วรึเปล่า ฉันใช้มาทั้งวูป และ Workaway ก็เวิร์คทั้งสองอัน ที่เลือก Workaway แทน Helpx นั้นก็เพราะว่า Workaway มีบอกว่าโฮสออนไลน์ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และมีด้วยว่าเดือนไหนยังว่าง เดือนไหนเต็มแล้วไม่รับคนเพิ่ม ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเขียนถึงโฮสที่ไม่แอคทีฟแล้วนั่นเอง

ไปที่ไหนดี?

ขั้นแรกต้องถามตัวเองก่อนเลย ว่าจุดประสงค์หลักของการไปเป็นอาสาสมัครนั้นคืออะไร ลองอะไรใหม่ๆ? อยากเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศโฮส? อยากฝึกภาษา? อยากเที่ยว? อยากเรียนรู้สกิลใหม่ๆ ที่โฮสเราชำนาญ? ถ้าตอบคะถามตรงนี้ได้แล้ว ขั้นต่อไปก็จะง่ายขึ้น


ถ้าอยากเที่ยว อยากเรียนภาษา อยากเรียนรู้วัฒนธรรม ก็คงต้องเลือกจากประเทศก่อนเลย แต่ถ้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่โฮสทำ ก็ดูกันไปว่าแถบไหนเขาชำนาญเรื่องอะไร ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับชีส หรือไวน์ ก็คงไปอิตาลี หรือฝรั่งเศส อะไรประมาณนี้

ถ้าใครบอกว่าอยากเที่ยว ก็คงต้องเลือกที่ที่ไม่ได้บ้านนอกมาก สามารถไปไหนมาไหนเองได้สะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีรถขับ เลือกไปที่ที่เราอยากไปเลยก็ได้ พวกงานตามฟาร์ม เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวธรรมชาตินะ อย่างตอนที่ฉันไปวูฟบนเขาทางตอนเหนือของอิตาลี คือแค่รอบๆ บ้านโฮสก็มีทางเทรคกิ้งเยอะแยะจนเดินไม่หมดแล้ว ทำให้ไม่ต้องไปไหนไกลก็เอ็นจอยธรรมชาติสวยๆ ได้เลย

แต่ถ้าเน้นอยากเจอเพื่อนใหม่ๆ เข้ากับโฮสได้ดี อยู่ที่ไหนก็มีสำคัญ แค่ต้องอ่านรีวิวให้ดีๆ อย่างโฮสที่ซาร์ดิเนียของฉัน อยู่เมืองเล็กจิ๋ว แถมยังไม่ติดทะเลอีกต่างหาก เรียกได้ว่าแถวนั้นแทบไม่มีอะไรให้ทำเลย แต่อาสาสมัครคนอื่นๆ รวมไปถึงโฮสนั้นดีมาก หากิจกรรมทำด้วยกันตลอด บางคนมีรถก็ขับไปเที่ยวทะเลกัน อะไรแบบนี้ คือไม่ได้เที่ยวทุกวัน ส่วนมากก็อยู่แต่ในหมูบ้านเนี่ยแหละ แต่ถ้าเพื่อนดีอยู่ไหนก็สนุกได้เนอะ


เลือกโฮสยังไงดี?

สิ่งสำคัญที่ต้องถามตัวเอง คือเรามีความเชื่ออะไรเป็นพิเศษรึเปล่า ถ้าไปอยู่ฟาร์มก็เช่นความเป็นออร์แกนิคของฟาร์ม ถ้าไปเลี้ยงเด็กก็วิธีการเลี้ยงเด็ก ถ้าไม่มีความเชื่อไรก็แล้วไป แต่อย่างฉันถ้าให้ไปอยู่ฟาร์มที่ไม่ออร์แกนิคก็คงไม่ไป เพราะมันขัดกับความเชื่อของเรา หรือถ้าต้องไปอยู่กับครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบปล่อยให้นั่งหน้าทีวี หรือจอไอแพดตลอดเวลา ก็ขัดกับสิ่งที่เราเชื่ออีก อยู่ไปจะอึดอัดเปล่าๆ (เคยมาแล้ว)

อีกอย่างคือ ตัวเองติดความหรูหราแค่ไหน ถ้าไปอยู่ฟาร์มแบบ self-sustainable หรือ off-grid ที่พึ่งตัวเองทุกอย่าง ทั้งนำ้ประปา ไฟฟ้า แถมบางฟาร์มนี่คือจะไม่ใช้น้ำมันเบนซิล หรืออะไรก็ตามที่มี fossil fuel ฟาร์มพวกนี้ ส่วนมากห้องน้ำ ที่อาบน้ำอะไรก็จะไม่ค่อยดี เป็น compost toilet ที่อาบน้ำคือฝักบัวแบบธรรมดามาก อยู่บนพื้นไม้ มีผนังกั้นสีด้าน แค่นั้น บางที่คือไม่มีน้ำอุ่นด้วยซ้ำ ก่อนจะตัดสินใจไปที่ไหน คงต้องเช็คให้ดีก่อนว่าที่ทางนอนกินของเราจะไปยังไง นอนในห้องนอนในบ้านโฮส ในคาราวาน นอนเต้นท์ ถ้าติดสบาย ไม่อยากไปอยู่ลำบาก ก็คงต้องเลือกไปทำงานในเกสต์เฮ้าส์ แต่บางทีฟาร์มที่อยู่สบายหน่อยก็มีนะ แค่ต้องเลือกๆ กันไป

ดูว่าโฮสอายุเท่าไหร่ มีเด็กหรือเปล่า ในบ้านอยู่กันกี่คน รับอาสาสมัครพร้อมกันครั้งละกี่คน อันนี้รู้ไว้ไม่เสียหายเหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้ว ประสบการณ์ของเราจะดีหรือไม่ได้ เกินครึ่งขึ้นอยู่กับโฮส และผู้คนอื่นๆ ที่ทำงานด้วยกันนั่นแหละ



ฉันเจอโฮสแบบไหนมาบ้างแล้วล่ะ?

ไปอยู่ฟาร์มแบบ off-grid ที่ผลิดกระแสไฟฟ้าและเก็บน้ำใช้เองมาสองฟาร์มที่อังกฤษ ฟาร์มแรกอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรเลย แต่ผู้คนที่นี่น่ารักมาก ทั้งเจ้าของฟาร์ม คนที่ทำงานที่ฟาร์ม แถมยังมีอาสาสมัครจากหลากหลายประเทศอีกด้วย งานที่ทำก็ไม่จำเจน่าเบื่อ และไม่หนักจนเกินไป ส่วนมากจะเป็นงานทำสวน ถอนวัชพืช เก็บผักรีดนมวัว ทำชีส ดูแลหมูและไก่อะไรประมาณนี้ เหนื่อยก็พัก ไม่ซีเรียสมาก ที่พักและห้องน้ำอาจจะไม่สบายมากนัก นอนในเคบินหรือไม่ก็คาราวาน ส่วนห้องอาบน้ำนั้นแบบบ้านนอกนิดๆ ไม่มีน้ำร้อนด้วย แต่ไปอาบบ้านคนที่ทำงานอยู่ในฟาร์มได้ ฟาร์มนี้ไม่สบาย รอบๆ ไม่ค่อยมีที่เที่ยว มีดีตรงผู้คนที่ได้มาทำความรู้จักที่นี่นั่นเอง

ฟาร์มที่สองอยู่ทางใต้ของอังกฤษ เป็นครอบครัวเล็กๆ พ่อแม่กับลูกอายุ 4 ขวบ เป็นฟาร์ม off-grid อีกแห่ง ที่มีสวนเล็กๆ อยู่ในบ้าน เต็มไปด้วยราสเบอร์รี่ แต่ ‘ธุรกิจ’ หลักๆ ของที่นี่คือไปเก็บเบอร์รี่ที่ชื่อว่าซีบัคธอร์น (sea buckthorn) ในช่วงหน้าหนาว แล้วเอามาทำน้ำเบอร์รี่ขายนั่นเอง อยู่ที่นี่ ไม่มีที่เที่ยว แต่ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เพราะเจ้าของฟาร์มอยากแบ่งปันความรู้กับเรา อยากเรียนอะไรขอให้บอก เดี๋ยวเขาสอน ทั้งทำตะกร้าสาน แกะสลักช้อน ทำขนมปัง ทำสวน เลี้ยงผึ้ง แถมเสาร์อาทิตย์ยังมีโอกาสได้ไปช่วยงานเทศกาลเกี่ยวกับคนที่ทำอาชีพผลิตอาหาร ทั้งปลูกผัก ทำน้ำผึ้ง ทำชีสอีกด้วย เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากๆ แม้ที่นี่จะรับอาสาสมัครครั้งละหนึ่งคน แต่ครอบครัวยังอายุน้อย ก็เหมือนเป็นเพื่อนกันนั่นแหละ ที่พักที่นี่ก็ดีกว่าที่แรกนิดหน่อย นอนในคาราวาน ห้องน้ำดีกว่า มีน้ำอุ่นด้วย แต่จริงๆ แล้วหน้าร้อนน้ำอุ่นก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอกนะ

อีกฟาร์มทางตอนใต้ของอังกฤษ มีเด็กสามคน แม่ทำสตูดิโอเซรามิค ฟาร์มนี้ไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไหร่ เพราะเหมือนเพิ่งเริ่มรับอาสาสมัคร ยังไม่ค่อยมีระบบ ห้องนอนดี ห้องน้ำดี ติดอย่างเดียวคือแนวทางการใช้ชีวิตของเรากับโฮสไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ โดยเฉพาะการเลี้ยงลูก ทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เหมือนเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่ได้ไปเดินเล่น เที่ยวทะเลแถบ Cornwall แถมไม่ต้องทำงานหนัก ก็ถือไม่แย่เท่าไหร่นะ



นอกจากที่อังกฤษแล้ว อีกประเทศที่เคยไปวูฟคือที่อิตาลีนั่นเอง แต่ที่ที่เลือกไปในอิตาลีนั้นไม่ค่อยโหดเท่าไหร่ ทริปแรกไปอยู่ในภูเขาทางตอนเหนือของอิตาลี ชายแดนที่ติดกับออสเตรีย ผู้คนแถบนั้นพูดภาษาเยอรมันกันหมด เลยง่ายในการสื่อสารสำหรับฉัน ฟาร์มแรกเป็นครอบครัวที่ทำฟาร์มสเตย์ (Agriturismo) มีปลูกผัก ผลไม้ เลียงแพะและวัว ทำชีสขาย ทำน้ำผึ้งด้วย เนื่องจากชีสและน้ำผึ้งเป็นสองอาหารโปรดของฉัน บวกกับเมืองที่ฟาร์มี้ตั้งอยู่นั้น สวยงามอลังการเหมาะกันคนชอบเดินเทร็คกิ้งมาก ไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง ฉันได้ช่วยคุณตาดูแลผึ้ง เข้าร่วมทัวร์รีดนมแพะ ทำชีส และชิมชีส ที่เด็ดที่สุดคือรอบๆ บ้านนั้นวิวสวยมากจริงๆ ทั้งพระอาทิตย์ขค้น พระอาทิตย์ตก คือคื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปลัดเลาะริมลำธารไปหาจุดดูพระอาทิตย์ขึ้น กลับมาบ้านกินข้าวเช้าแล้วเริ่มทำงาน พอตอนเย็นงานเสร็จก็เดินขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ กลับมาเหนื่อยๆ มีอาหารเย็นรออยู่ที่บ้านเรียบร้อย

คือเอ็นจอยไลฟ์มาก ยิ่งตอนนี้ที่ฟาร์มเปิดร้านอาหารแบบออแกร์นิค สไลว์ฟู้ดแล้วด้วย ถ้ามีโอกาสจะรีบกลับไปอีกแน่นอน

ฟาร์มที่สองนั้นเป็นฟาร์มม้า ที่เลือกไปที่นี่เพราะเจ้าของบอกว่าช่วงที่ฉันจะไปมีเทศการดนตรีโฟล์คพอดี โอกาสจะมาเจอะช่วงเวลาเหมาะเจอะแบบนี้มีไม่มาก เลยคว้าไว้ซะเลย

ปรากฏว่าอยู่ฟาร์มนี้แทบไม่ได้ทำงานอะไรเลยจ้ะ แค่ช่วยเตรียมเทศกาลดนตรีเล็กน้อย นอกจากนั้นก็ชิลกับอาสาสมัครคนอื่นๆ ไปเดินป่า ปิคนิก ฟังเพลง นั่งเล่นรอบกองไฟกันซะเป็นส่วนใหญ่ แต่อยู่ที่นี่อยู่แบบบ้านๆ นิดนึง คือนอนบนคอกม้า ส่วนจะอาบน้ำหรือกินข้าวนั้น ให้ไปที่โรงแรมในตัวเมืองซึ่งเป็นของครอบครัวของฟาบิโอ (Fabio) เจ้าของฟาร์มนั่นเอง

แถมตอนที่ไปนั้นฟาบิโอกิ๊กกับอาสามัครสมัครจากบราซิลคนนึง มาพาพวกเราขับรถขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกบนภูเขาด้วย ที่จริงจะพากิ๊กไป แต่กิ๊กรักเพื่อนมาก เลยบอกว่าไปกันหมดเนี่ยแหละ ฮ่าๆ

สรุปง่ายๆ อยู่ฟาร์มนี้กินดี เพื่อนดี งานไม่ต้องทำ แต่เฉพาะช่วงอาทิตย์ที่ฉันไปเท่านั้นนะ เพราะเพื่อนอาสาจากอิสราเอลอีกสองคน ที่อยู่กันมาแล้วเกือบเดือน บอกว่าปกตินั้นงานหนักมาก คือตื่นแต่เช้ามาดูแล ป้อนข้าวม้า เวลาพักก็น้อยนิด

คือถ้าให้กลับไปที่นี่อีกคงต้องขอคิดดูอีกที ถ้าไปเจอเทศกาลอีกก็ไม่แน่นะ

ส่วนล่าสุดที่ไปมา ผ่านเว็บไซต์ Workaway คราวนี้ไปติดเกาะที่ซาร์ดีเนีย ค่อนข้างจะสังสรรเฮฮา เจ้าของฟาร์มดี เพื่อนดี ไวน์อร่อย แมวเยอะ หน้าที่หลักของฉันคือทำอาหาร ทำเค้กเลี้ยงคนในฟาร์ม ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เท่าไหร่แต่ก็สนุกสนานดี เหมือนไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นี่มากกว่า แถมเจ้าของยังเปิดกว้างกับไอเดียใหม่ๆ ที่เราอยากเสนอ ถ้ามีโอกาสอยากกลับไปอยู่ที่นี่ยาวๆ เลยเหมือนกัน

สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ว่าก่อนจะตัดสินใจไปเป็นอาสาสมัครที่ไหน อย่าคิดว่าจะไปเที่ยว ให้คิดว่าไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้ แล้วจะไม่ผิดหวัง อย่างไรก็ตามแต่ เวลาอ่านโปรไฟล์ ถามตัวเองด้วยว่าไลฟ์สไตล์ของเขานะ เราอยู่ได้ไหม ถ้าไม่มีฮีตเตอร์ ไม่มีห้องน้ำดีๆ ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือต้องนอนเต้นท์ ถามตัวเองให้แน่ใจก่อนจะตัดสินใจ แต่ถ้าไปถึงแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ ไม่โอเค ไม่ปลอดภัย แม้จะคุยกันไว้ว่าจะอยู่หนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ หรือหนึ่งเดือน สุดท้ายเราไม่ได้มีข้อผูกมัดอะไรอยู่แล้ว ถ้าคิดว่าอยู่แล้วไม่สบายใจ เสียเวลา ก็ไม่มีใครบังคับให้รู้อยู่ต่อนะ ออกมาได้เลย

ใครมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม คอมเม้นท์ หรือติดต่อเข้ามาถามเป็นการส่วนตัวได้เลยนะ

You Might Also Like

2 comments

  1. ขอข่องทางติดต่อหน่อยค่ะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอช่องการติดต่อหน่อยค่ะพี่

      Delete

Flickr Images