For the lover of food—books by Matthew Fort

ฉันเริ่มมาสนใจเรื่องอาหารเมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อค้นพบว่าจะต้องคอยดูแลชีวิตตัวเองทุกอย่าง ต้องคอยหาอาหารให้ตัวเองกิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอ...

ฉันเริ่มมาสนใจเรื่องอาหารเมื่อสองปีที่แล้ว เมื่อค้นพบว่าจะต้องคอยดูแลชีวิตตัวเองทุกอย่าง ต้องคอยหาอาหารให้ตัวเองกิน

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ไทย แม้แต่ตลาดยังไม่ค่อยจะอยากไปเลย การจะเห็นฉันเหยียบย่างเข้าไปในห้องครัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมีแม่คอยทำอาหารมาวางบนโต๊ะทั้งสามมื้อ พอมาอยู่อังกฤษก็มืดแปดด้าน รู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรสักอย่าง

เฮ้ย อันนี้ผักปลอดสาร ซื้ออันนี้ดีกว่า!

แต่แบบมันแพงอ่ะ แบบธรรมดาถูกกว่าตั้งครึ่งนึง

ซอสยี่ห้อนี้เกลือเยอะมาก โยเกิร์ตก็ใส่สารเสริมอะไรไม่รู้เต็มไปหมด จะกินคีนวาก็กลัวไปทำร้ายคนโบลิเวีย

คือเยอะมาก คนอื่นคงไม่เยอะขนาดนี้ แต่คนนี้คิดมากค่ะ

พอตัวเองสามารถเลือกได้ว่าจะเอาอะไรเข้าไปในร่างกายตัวเองบ้าง เลยเริ่มศึกษาทุกอย่าง น้ำมันแบบไหนดีที่สุด ผักอะไรสารพิษเยอะ ทำไมแอปเปิ้ลบางพันธุ์ปลูกที่อังกฤษ บางพันธุ์นำเข้ามาจากอเมริกา เป็นวีแกนแล้วกินนมอัลมอนด์นี่มันดีกว่านมวัวสดๆ จริงเหรอ

แล้วฉันต้องกินอะไรถึงจะดีต่อร่างกายของตัวเองมากที่สุด?

เลยกลายเป็นคนที่สนใจเรื่องอาหาร และตกหลุมรักการกินไปโดยไม่รู้ตัว หาหนังสือมาอ่านหลายเล่ม แถมยังดูสารคดีไปอีกหลายเรื่อง ทำโปรเจคต์ก็มีแต่เรื่องเกี่ยวกับอาหาร แรงบันดาลใจในด้านครีเอทีฟของฉันส่วนใหญ่ก็มาจากเชฟทั้งหลายเนี่ยแหละ

วันนี้เลยอยากมาแนะนำหนังสือและสารคดีเจ๋งๆ ที่ฉันประทับใจ และเป็นทั้งแรงบันดาลใจในการเดินทางและการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากๆ


Eating Up Italy / Sweet Honey, Bitter Lemon by Matthew Fort

รู้จัก Matthew Fort ก่อนไปเที่ยวอิตาลีกับครอบครัว คือตอนนั้นอยากหาอะไรมาอ่านให้รู้จักประเทศนี้มากขึ้น แต่ไม่อยากอ่านไกด์บุ้ค เลยหาอะไรที่เราสนใจ ซึ่งก็หนีไม่พ้นอาหารอิตาลี ชอบวัฒนธรรมด้านอาหารของอิตาลีมาก คือมีประเทศไหนอีกที่รักการกินขนาดนี้ ในร้านอาหารนี่เมนูมี 4 คอร์สนะ มีเรียกน้ำย่อย ต่อด้วยพาสต้า แล้วก็เป็นเมนพวกเนื้อสัตว์ ก่อนปิดท้ายด้วยของหวาน (ไม่ได้กินอย่างงี้ทุกมื้อ แต่นี่คือแพทเทิร์นการกินของเขาแหละ)

ตอนแรกอ่าน Eating Up Italy ก่อน เป็นทริปกินของแมทธิว ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ด้านอาหารให้ The Gueardian มาเป็นสิบปี ตอนไปทริปนั้นแกก็อายุห้าสิบกว่าแล้ว ขับเวสป้าคนเดียว จากคาลาเบรีย (Calabria) ขึ้นไปตูริน (Turin) เป็นพันกิโลเมตรเลยนะ แต่ดูแล้วคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะแกได้กินของดีๆ ทุกวัน ที่ฉันชอบมากเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ คือแมทธิวได้เข้าไปร่วมทานอาหารกับครอบครัวชาวอิตาเลียนหลายมื้อ เรียนรู้การทำจานเด็กต่างๆของแต่ละท้องถิ่น ร่วมไปถึงเข้าไปเขาทำไส้กรอก พาสต้า เลี้ยงหอยทาก คือได้เรียนรู้วัฒนธรรมด้านอาหารจากหนังสือเล่มนี้เยอะมาก แถมตอนท้ายของแต่ละบทยังมีสูตรอาหารที่เขาได้ไปกินมา บางสูตรนี้มาจากครอบครัวที่ไปกินข้าวด้วย บ้างมาจากร้านอาหาร หรือเบเกอรี่ก็มี

อ่านเล่มแรกจบ กลับมาจากอิตาลีแล้ว หลงรักประเทศนี้หัวปักหัวปำ (โดยเฉพาะของกิน) เลยไปเอาอีกเล่มมาอ่าน Sweet Honey, Bitter Lemon แพทเทิร์นการเที่ยวและการเขียนนั้นเหมือนเล่มแรกนั่นแหละ แต่คราวนี้แมทธิวไปขับเวสป้ารอบเกาะซิซิลี (Sicily) พร้อมกับหวนลำรึกถึงเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ที่มาเที่ยวที่นี่กับน้องชายอีกด้วย ยิ่งอ่านยิ่งอยากตามรอยลุงแกไปกินๆ นอนๆ อยู่ที่อิตาลีบ้าง ทำเอาฉันหลงเสน่ห์ประเทศนี้เข้าเต็มๆ จนซัมเมอร์นี้จะไปกินๆ นอนๆ (และถูกใช้แรงงาน) เป็นอาสาสมัครตามฟาร์มต่างๆ ในเทือกเขา Dolomites ทางตอนเหนือของประเทศถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ เลยทีเดียว


You Might Also Like

0 comments

Flickr Images