design student
england
leeds
life in england
study in the UK
หนึ่งปีสี่เดือน—สิ่งที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่มาเรียนต่อที่อังกฤษ
12:49:00อยู่อังกฤษมาจะปีครึ่งแล้ว เรียนๆ เล่นๆ ทำกิจกรรมเยอะมาก เที่ยวบ้างเล็กน้อยให้พอหายอยาก พบเจอผู้คนเยอะมาก ทั้งดี ทั้งไม่ค่อยโอ ร้องไห้ หัวเราะ นอนป่วย ตกรถไฟ ก็เคยมาหมดแล้ว
อย่าฝืน อันนี้รู้สึกได้ตั้งแต่ตอนอยู่เยอรมัน ตามอารมณ์เด็กวัยรุ่น เพิ่งเข้าไนท์คลับแบบถูกกฎหมายได้ใหม่ๆ เด็กปีหนึ่งที่อังกฤษก็เหมือนกัน เพิ่งจากบ้านออกมาอยู่คนเดียว เข้าเมืองใหญ่ เจอเพิ่งใหม่ อยากเข้าสังคม อยากรู้รสชีวิตอิสระที่ไม่มีพ่อแม่คอยคุม กินวอดก้า เหล้าเบียร์อื่นๆ กันจนเมา แล้วจ่ายเงินค่าเข้าไนท์คลับเผื่อไปเต้น เพลงก็ไม่เพราะ บรรยากาศก็แออัด ของแบบนี้ลองได้ แต่ไม่ฝืน ถ้าลองแล้วไม่ชอบ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ก็ไม่ทำ ถึงเพื่อนๆ ส่วนใหญ่จะทำกัน ฉันก็ปล่อยเขาไป หาอย่างอื่นทำ หาเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ทำอะไรเหมือนๆ กันสบายใจกว่าเยอะ เดี๋ยวนี้ถ้าจะให้ไปปาร์ตี้ เข้าคลับนี่เซย์โนทันที รู้สึกเหมือนไปทรมานตัวเอง ทั้งเสียเวลาและเสียเงิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่สังสรรกับคนอื่น แค่หาอีเวนท์ที่มันเหมาะกับตัวเราเท่านั้นเอง
หัดอยู่คนเดียว สืบเนื่องมาจากข้อแรก หลายครั้งรู้สึกเลยว่าอยู่คนเดียว ถึงจะเหงา แต่รู้สึกดี รู้สึกสบายใจกว่าเยอะ ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเสแสร้ง การอยู่คนเดียวนี่ฉันว่าเป็นเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเลยนะ เรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวให้มีความสุขดีกว่าอยู่กับผู้คนมากมายแล้วต้องแสร้งยิ้มตลอดเวลา
ทำกิจกรรม แต่จะให้อยู่คนเดียวตลอดไปก็ไม่ได้ คนเราก็ต้องมีเพื่อน สำหรับฉันได้เพื่อนมากที่สุดจากการทำกิจกรรม เพราะคนที่ชอบทำอะไรเหมือนๆ กัน หรือมีงานอดิเรดเหมือนกัน มีโอกาสที่จะมีนิสัยคล้ายๆ กันมากกว่า คนที่รักษาสุขภาพก็คงจะไม่ชวนกันไปกิน junk food หรอกจริงไหม ฉันเข้าชมรมเกี่ยวกับ sustainably and ethical life style (พวกใช้ชีวิตแบบพอเพียง พึ่งตนเอง รักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม) ก็เจอหลายๆ คนที่ชอบฟังดนตรีสด (แทนที่จะไปไนต์เอ้าท์ในคลับ) ทำอาหารมังสวิรัต เล่ยโยคะ นั่งสมาธิ คนพวกนี้ส่วนมาก open mind มากๆ ด้วย (ฉันเจอคนอังกฤษหลายคนที่ไม่ค่อยเปิดรับอะไรใหม่ๆ เลย) เลยเข้ากันได้ดีกว่า เวลาสังสรรกันแทนที่จะกินเหล้ากินเบียร์จนเมาไม่รู้เรื่อง ก็หันมากินข้าวเย็นด้วยกัน นั่งคุยกัน จิบเบียร์จิบเหล้าที่หมักเองจากผลไม้ อารมณ์มันต่างกันเยอะเลยนะ
ไปเป็นอาสาสมัคร คือได้รู้จักคนเยอะ ได้ประสบการณ์ พอมีประสบการณ์ก็ได้งานทำ อย่างฉันไปเป็นอาสาสมัครทำขนมปังที่เบเกอรี่ พวก baker ทั้งหลายสนใจเรื่องอาหาร เราอยากได้อะไร อยากทำอะไรก็ปรึกษาได้ พอไปสมัครงานกับเบเกอรี่ที่อื่น เขาเห็นว่าเรามีประสบการณ์และชอบด้านนี้จริงๆ (ไม่งั้นจะไปทำงานให้เขาฟรีๆ ไหมละ) ก็ได้งานทำ ไม่ว่าจะทำอะไรฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ connection นะ
ไปจ่ายตลาดกับเพื่อน ประหยัดไปเยอะมากกกกกก คือที่ตลาดมีซื้อครบ £5 ลด 10% เราก็ไปจ่ายตลาดกับเพื่อนที่อยู่บ้านด้วยกัน ได้ผักผลไม้สำหรับทั้งอาทิตย์มาในราคา £3-4 เท่านั้น คือถูกได้อีก รวมๆ แล้วทั้งอาทิตย์ ถ้าทำกับข้าวกินเองนี่ £15 คือเหลือเฟือเลยล่ะ
ทำกับข้าวกินเองที่บ้าน อย่างที่บอกไปข้อก่อนหน้านี้ว่าอาทิตย์นึง £15 อยู่ได้สบายๆ แต่ถ้าออกไปกินข้าวข้างนอกละก็ ต้องมีอย่างต่ำ £5 ต่อมื้อ แต่ถ้าจะกินแบบเป็น meal เลย ต้องสัก £10 แถมนั่งร้านอาหารยังต้องมีทิปอีก
เอาสิ่งที่ชอบมาใส่ในงานที่ต้องทำ ทุกวันนี้มีความสุขกับการไปมหาลัย มีความสุขกับทุกโปรเจ็คต์ที่ทำ แม้ตอนเริ่มต้นโปรเจ็คต์จะปวดหัว คิดไม่ออก รู้สึกสับสนบ้าง แต่พอรู้ว่าจะทำอะไรแล้ว พอถึงเวลาลงมาทำ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุขที่ได้ทำ อย่างตอนทำโปรเจ็คต์เซรามิคนี่เหนื่อยมาก เข้าห้องเวิร์คช้อปทั้งวัน พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง แต่ทำไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข สนุก และตื่นเต้น (แม้จะแอบเครียดบ้างเล็กน้อยเพราะกลัวไม่ทันเดดไลน์) อย่างฉันชอบอาหารกับวัฒนธรรมก็ทำโปรเจ็คต์เกี่ยวกับเรื่องที่ชอบ ไม่รู้สึกเหมือนไปเรียน ไม่รู้สึกเสียเวลา ไม่กลับบ้านไปบ่นให้ใครรำคาญ เพราะทำสิ่งชอบจะเหนื่อยแค่ไหนก็มีความสุข
ถาม สงสัยอะไรให้ถาม อย่าหยุดถาม อยากทำอะไรให้ถาม ขอคำปรึกษา เพราะหลายครั้งคำตอบที่ได้กลับมามันเกินความคาดหมายไปเยอะ
อย่าหยุดอยู่กับที่จนกว่าจะเจอสิ่งที่ชอบ เพราะพอเจอสิ่งที่ชอบแล้วงานที่ทำจะกลายเป็นเรื่องสนุก เราจะทำเพราะอยากทำและมีความสุขกับมันจริงๆ เวลางานเยอะก็ไม่เครียด (เท่าไหร่) อย่างตอนที่ฉันทำโปรเจคต์เซรามิก คืองานเยอะมาก ทำเซรามิกงานจะออกมาเป็นไงไม่รู้ กว่าจะรู้ก็ปาเข้าไปสองอาทิตย์ ถ้าเสียทำไม่ก็ไม่ทันเดดไลน์ ช่วงนั้นอยู่ในเวิร์คช้อป นั่งปั้นทั้งวัน พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ทำแบบนี้อยู่สามวัน เหนื่อยมันเหนื่อย (คือนั่งท่าเดิมนาน ปวดหลังเลย) แต่ก็ยังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ กายน่ะเหนื่อย แต่ใจยังตื่นเต้น อยากกลับไปทำให้เสร็จ อยากเห็นผลงานของตัวเอง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบจริงๆ แค่สามวันงานคงไม่เสร็จ และตลอดเวลาที่ทำคงได้แต่คิดว่าอยากทำให้เสร็จเร็วๆ มันจะได้ขีดมันออกจากแพลนเนอร์สักที
0 comments