คนอังกฤษเขาเรียนศิลปะกันยังไง—3

ตอนที่สาม ตอนสุดท้ายแล้วสำหรับปี (การศึกษา) นี้ กับการทำ final project ของฉัน final project คือ โปรเจคต์ที่ต้องคิดเองทุกอย่าง ตั้งแต่หัวข้...

ตอนที่สาม ตอนสุดท้ายแล้วสำหรับปี (การศึกษา) นี้ กับการทำ final project ของฉัน

final project คือ โปรเจคต์ที่ต้องคิดเองทุกอย่าง ตั้งแต่หัวข้อว่าจะทำเกี่ยวกับอะไร ไปจนถึงผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าเปิดกว้างสุดๆ อยากทำอะไรทำ ให้โอกาสเราเต็มที่เลยทีเดียว

เนื่องจากเป็นโปรเจคต์ที่ใช้เวลาทำนานพอสมควร (ประมาณ 10 สัปดาห์) ติวเตอร์เลยย้ำนักย้ำหนา ว่าให้ทำเกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจจริงๆ และจะไม่เบื่อง่ายๆ ฉันเลยเริ่มต้นโปรเจคต์จากการนั่งลิสต์ขึ้นมาก่อนว่าสิ่งที่ฉันสนใจมากขนาดนั้นน่ะ มีอะไรบ้าง

ที่จริงลิสต์ออกมาได้ยาวเหยียด ตั้งแต่เรื่องซีเรียสระดับโลก (ภาวะโลกร้อนและการใช้ชีวิตแบบพอเพียง/eco living) ไปจนถึงหัวข้อใกล้ตัวปัญญาอ่อน (อิซิลลี่กับตัวเล็ก แมวที่บ้าน) แต่เอาหลักๆ แล้วมีอยู่ 2 สิ่งที่เป็น ultimate passion สุดๆ นั่นก็คือ

1. กิน
2. เที่ยว

ชีวิตมันมีแค่เนี้ยแหละเนอะ


สุดท้ายเลือกทำเรื่องอาหาร เพราะมันใกล้ตัวดี (แถมยังเป็นการต่อยอดมาจากโปรเจคต์สองอันก่อน ที่ทำเรื่องอาหารมาแล้วด้วย) ทำไปกินไปไม่มีวันเบื่อ แต่เรื่องอาหารก็ยังคงเป็นประเด็นที่กว้างสุดๆ และมีอะไรหลายๆ อย่างที่ฉันตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น...

ทำไมเดี๋ยวนี้มี diet หลากหลายรูปแบบเหลือเกิน ทั้ง paleo, gluten free, dairy free, clean, vegetarian, vegan, atkins, raw และอื่นๆ อีกมากมาย ที่หลายอันมันขัดกันเอง อันนึงห้ามกินข้าว อีกอันห้ามกินเนื้อสัตว์ อีกอันบอกให้เน้นเนื้อสัตว์ กินเนื้อสัตว์เยอะๆ

อ้าว แล้วจะให้เชื่ออันไหนดีเนี่ย


อีกประเด็นนึงคือเรื่องอาหารการกินของนักศึกษาที่นี่ คือแฟลตเมทของฉันทั้งหลายไม่ค่อยจะเข้าครัวกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้อพวกหม้อกระทะมากันทำไม เพราะเห็นที่กินๆ กันก็มีแต่อาหารสำเร็จรูปที่ต้องอุ่นในไมโครเวฟ หรือไม่ก็อาหารแช่แข็งที่ต้องอบในเตาอบ แต่ละอย่างนี่มันเยิ้มเชียว คือเปิดเตาอบทีมีแต่กลิ่นน้ำมันและคราบน้ำมันอ่ะ

อี๋ ทนกินกันไปได้ยังไงอาหารแบบนั้น นานๆ ทีไม่เท่าไหร่ นี่กินเกือบทุกวันเนี่ยนะ

โปรเจคต์ของฉันเลยเป็นการทำ booklet ส่งเสริมให้นักศึกษาทำอาหารกินเอง มีสูตรอาหารง่ายๆ แล้วก็บอกโทษของการกินนู่นกินนี่เยอะเกิน ประมาณนี้


คือตอนแรกฉันไม่คิดจะทำออกแนว cookbook เลย (ทั้งๆ ที่ที่จริงแล้วก้อยากทำนั่นแหละ) เพราะนั่นหมายความว่าฉันจะต้องทำอาหาร และถ่ายรูปมันออกมาให้สวย ดูดี ในห้องครัวน่าเกลียดๆ ของหอพัก

แต่ถ้าถามว่าอยากทำมั้ย บอกเลยว่าอยากมาก เพราะชอบถ่ายรูปอาหาร ชอบทำอาหารอยู่แล้ว เลยตัดสินใจไม่ปล่อยให้ปัญหาเรื่องห้องครัวน่าเกลียดมาหยุดเราไว้ ตัดสินใจลุยทำ cookbook เลย


ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ cookbook หรอก แต่จะออกแนวบอกว่ากินนู่นไม่ดีนะ กินนี่แทนดีกว่า อย่างพวก fast food ต่างๆ ก็บอกข้อเสียของมัน มีให้ความรู้ แล้วก็มีสูตรว่าจะทำเบอเกอร์เองยังไง เน้นง่ายๆ ไม่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์เยอะ เพราะถ้าทำเป็น student cookbook เฉยๆ มันโหลมากแล้ว ใครๆ เขาก็ทำกัน น่าเบื่อจะตาย


แต่...พอมานั่งลิสดูว่าต้องทำอะไรบ้างก็ต้องแอบท้อนิดๆ เพราะมันเยอะมาก ที่เยอะที่สุดคงหนีไม่พ้นว่าจะต้องทำอาหารทั้งหมด และถ่ายรูป นอกจากนั้น การทำหนังสือยังมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ เยอะแยะที่ฉันคิดไม่ถึง ต้องดูเรื่องฟอนต์ หาข้อมูลมาใส่ ทำยังไงให้ข้อมูลที่เป็นวิชาการเหล่านั้นดูน่าสนใจ ไม่น่าเบื่อสำหรับนักศึกษาที่ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่นัก

นี่หาเรื่องให้ตัวเองทำงานหนักแท้ๆ เลยทีเดียว ขนาดได้เป็นคนคิดโปรเจคต์ให้ตัวเอง ดันคิดโปรเจคต์ให้ตัวเองทำงานเยอะอีก


งานเยอะจริง แต่เป็นการทำงานที่ค่อนข้างสนุก เพราะงานหลักๆ ช่วงแรกคือทำอาหารและถ่ายรูป ยิ่งเวลาได้ชวนเพื่อนๆ มาช่วยกันทำ ช่วยกันกินช่วงเสาร์อาทิตย์ยิ่งทำให้การทำงานของฉันไม่ค่อยเหมือนงานเท่าไหร่นัก ส่วนที่เหลือเรื่องพวกจัดเลย์เอ้าต์หน้าในหนังสือก็ชอบทำอยู่แล้ว แต่มีเจอปัญหาเยอะเหมือนกัน แบบหาฟอนต์ที่เข้ากันไม่ได้ จะจัดหน้านี้ให้เป็นสไตล์ไหน จะทำยังไงให้รูปถ่ายที่มีอยู่ออกมาดูดีบนหน้าหนังสือ (เพราะถ้าต้องมาทำอาหารใหม่ ถ่ายรูปกันใหม่ คงไม่น่าสนุกเท่าไหร่นัก)

แถมสองอาทิตย์ก่อน deadline ดันมาป่วยหนัก มีไข้ นอนอยู่บนเตียงไม่ออกไปไหนทั้งอาทิตย์ โชคดีที่มหาลัยเลื่อน deadline ให้ แต่อาทิตย์สุดท้ายก่อนกำหนดส่งนี่ก็วุ่นเหมือนกัน เพราะไม่ได้วางแผนมาก่อนว่าจะไปพิมพ์ที่ไหน ยังไง คิวปริ้นท์งานเต็มบ้าง กระดาษแบบที่ชอบไม่มีบ้าง กระดาษไซส์ที่ต้องการไม่มีบ้าง พาให้ฉันเครียดไปเป็นเวลา 1 วันเต็มๆ

(เพื่อนเครียดกันเป็นอาทิตย์ อินี่เครียดแค่วันเดียวค่ะ)


แต่สุดท้ายก็สำเร็จได้ด้วยดี ตั้งแต่ปริ้นท์ไปจนเย็บเล่ม ออกมาดูดีแบบที่ตั้งใจไว้ แม้สีจะเพี้ยนๆ ไปบ้างเพราะไม่ได้ปริ้นท์ลงบนกระดาษสำหรับ inkjet โดยเฉพาะ แต่ถือว่าพอใจกับผลงานที่ออกมาแล้วล่ะ

ส่วนตอนนี้ก็โล่งและว่างสุดๆ หลังจากที่ได้เอางานไปส่ง กินเค้กฉลองไปสองชิ้น ตามด้วยไอติมอีกสองลูก ตอนนี้ก็นอนกระดิกเท้ารอ ไปปั้นขนมปัง กินนู่นกินนี่ระหว่างรอตรวจงาน พอเกรดออกปลายเดือนก็ได้เวลากลับบ้านแล้วล่ะ

ไม่ได้กินอาหารไทยมี 9 เดือน (อยู่นี่ซื้ออาหารไทยกินแค่ครั้งเดียวคือผัดไทยจ้า ครั้งเดียวตลอด 9 เดือนอ่ะคิดดู) กลับไปได้มีทริปกินแหลกแน่นอน...



You Might Also Like

1 comments

  1. นี่อ่านครั้งแรกก็ตอนสามเลย ชอบนะ
    อยสกรู้ว่า studen cookbook ที่บอกว่าโหลๆอะ เป็นไงหรอ

    ReplyDelete

Flickr Images