back on the (grey) island — new job, work and life

ไม่รู้ว่านี่จะเป็นปีสุดท้ายที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ นี่คือปีสุดท้ายของการเรียนป.ตรี …ไม่รู้มหาลัยจะให้จบรึเปล่า แต่จ่า...

ไม่รู้ว่านี่จะเป็นปีสุดท้ายที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ นี่คือปีสุดท้ายของการเรียนป.ตรี

…ไม่รู้มหาลัยจะให้จบรึเปล่า แต่จ่ายค่าเทอมไปแล้วยังไงก็ต้องจบนะ ไม่จบไม่ได้จ้ะ

หลังจากหนีหายจากลีดส์และประเทศอังกฤษไปเกือบแปดเดือน แถมก่อนไปอิตาลีเมื่อปลายปีที่แล้วยังมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีกับชีวิตที่นี่ อยากจะหนีออกจากเกาะอึมครึมแห่งนี้ให้ได้ พอตรงกลับมาอยู่ที่นี่ และต้องยอมรับความเป็นจริงนี้ ก็ยากไม่ใช่น้อยเลย ยิ่งชีวิตตอนอยู่อิตาลี โดยเฉพาะสามสี่เดือนก่อนกลับมาอังกฤษ เป็นอะไรที่ชิวและพีคสุดๆ เที่ยวทะเล ทำอาหาร ทำเค้ก ใช้ชีวิตแบบ la dolce vita สุดๆ

ยังไม่นับว่านี่มีแฟนอยู่ที่อิตาลีอีกนะ ไม่มีโมเมนต์ไหนที่จะไม่อยากกลับมาอยู่อังกฤษเท่าตอนนี้อีกแล้ว

work

บางทีก็ต้องยอมรับ ว่าชีวิตไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการเสมอไป ถ้าฉันเปลี่ยนอย่างอื่นไม่ได้ คงจะต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง

ในความเซ็ง (ที่ต้องกลับมาอยู่ประเทศอึมครึม) ของฉัน ก็ยังมีโอกาสดีๆ ที่รอคอยมานานผ่านเข้ามา ฉันลองสมัครงานเล่นๆ ไปสองสามแห่ง ไม่ได้คิดจะหางานจริงจัง สมัครร้านขนมปังที่เคยไปเป็นอาสาสมัครตั้งแต่ปีแรกที่มาอยู่อังกฤษไปแล้วเขาก็ไม่รับ (เพราะรู้ว่าอีนี้หนีเที่ยวบ่อยล่ะมั้ง) ในใจก็คิดว่าจบละ เทอมสองเมื่อไหร่จะหนีออกจากอังกฤษ ไปทำโปรเจคต์อยู่ต่างประเทศให้เร็วที่สุดเลย


แต่ไปไงมาไงไม่รู้ มาได้งานที่ไวน์บาร์ไฮโซในเมืองเฉยเลย ตอนส่งใบสมัครไปนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเปิดรับตำแหน่งไหนบ้าง รู้แต่ว่าที่ร้านขายชอคโกแลตยี่ห้อโปรด ก็เลยลองสมัครดู ที่นั้นเอง

ที่สำคัญคืองานที่ได้นั้นไม่ใช่งานเด็กเสิร์ฟหรือแคชเชียร์ แต่เขาจะจ้างเราไปทำขนม!

ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดมากเลยไงล่ะ



ร้าน Friends of Ham ที่ฉันทำงานอยู่นั้นมีทั้งหมดสามสาขา สองสาขาเป็นออกแนวผับไฮโซ ตอนกลางวันมีเสิร์ฟชากาแฟและเค้ก มีเบียร์ ไวน์ บรันช์ และแฮมกับชีสบอร์ดคัดสรรคุณภาพดี ส่วนอีกสาขานึงเป็นไวน์บาร์ที่เสิร์ฟดินเนอร์จานเล็กๆ สไตล์ฟิวชั่น (พูดง่ายๆ คือราคาแพงนั่นเอง) โดยใช้เข้าไปอบขนมเค้กในห้องครัวของไวน์บาร์เนี่ยแหละ ร้านนี่ไม่เคยจ้างใครมาทำขนมแบบนี้มาก่อน ฉันเลยไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่นัก (เพราะที่จริงและทุกวันนี้ก็ยังถามตัวเองอยู่ว่านี่เขาจ้างฉันไปทำขนมได้ยังไง ไว้ใจกันมากกว่าฉันไว้ใจตัวเองอีกนะเนี่ย) ไม่มีกรอบตายตัวว่าต้องทำอะไร ฉันอยากทำอะไรก็ทำได้เลย ทดลองกันไปเรื่อยๆ เพราะทางร้านเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรขายดี อะไรขายไม่ดี

แคลร์กับคิทช์ เจ้าของร้าน บอกว่าขอแค่สวย แปลก อร่อย เท่านั้นเอง

ฟังดูเหมือนจะเป็นโจทย์ที่ง่าย แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะจ๊ะ



เป็นงานที่ท้าทายพอสมควร เพราะฉันต้องคิดเองว่าจะอบขนมอะไร เช็คสต็อคส่วนผสม และสั่งส่วนผสมที่ต้องการจากระบบออนไลน์เองด้วย วันแรกที่ไปทำก็ช็อคเล็กน้อย ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลายอย่าง มีท้อเหมือนกัน แต่ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พอกลับไปอีก เริ่มชินแล้ว ก็ง่ายขึ้นบ้าง

ค่อยๆ เปลี่ยนจากชีวิตนักเรียนไปทำงานอย่างช้าๆ พอเรียนจบแล้วจะได้ไม่ช็อคเนอะ

บ่นบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่จะว่าไปแล้วนี่เป็นเหมือนงานในฝันของฉันเลยนะ จากตอนแรกที่วางแผนไว้ว่าจบเทอมแรกแล้วจะรีบหนีออกไปเที่ยวและทำโปรเจคต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในยุโรป ก็มีงานนี้เนี่ยแหละที่มาคิดทบทวนดูใหม่ จริงอยู่ว่าการทำงานมันต้องแลกด้วยอิสระหลายๆ อย่าง (โดยเฉพาะอิสระที่จะไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ที่อยากไป) แต่มันก็เป็นโอกาสการเรียนรู้และได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่ได้หามาได้ง่ายๆ (แถมได้เลินเดือน)

คิดซะว่าเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ยอมอดทนเพื่ออนาคตของตัวเองหน่อยละกัน ได้อย่างเสียอย่างเป็นเรื่องธรรมดาเนอะ จะได้อย่างที่ชอบทุกอย่างชีวิตคงจะราบรื่นเกินไป


life

ชีวิตสบายดี ขึ้นบ้างลงบ้างเป็นเรื่องปกติ

ช่วงหลังๆ นี้สนใจเรื่องจิตวิทยาเป็นพิเศษ เริ่มมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมของฉันกับแฟน หลายครั้งเจอคำถาม หรือคอมเม้นต์เกี่ยวกับเรื่องที่เราทำประจำ หรือเราเป็นอย่างนี้ของเราอยู่แล้วจนเป็นเรื่องปรกติ แต่สำหรับแฟนมันแปลก เช่นการไม่ค่อยพูดตรงๆ คืออะไร รู้สึกยังไงจะไม่ค่อยบอก คือลึกๆ แล้วเป็นคนขี้อายนั่นเอง

มีเรื่องเล็กน้อยอีกเยอะมาก ถัดจากแฟนคือได้มาเจอผู้ชายคนนึง เป็น couchsurfer ที่เราไปพักอยู่ด้วยที่ซิซิลี แล้วคุยกันถูกคอมากจนกลายมาเป็นเพื่อนกัน เขาเป็นคนที่ถามคำถามแบบตรงมาก และชอบพฤติกรรมของคนอื่น คำถามหลายข้อที่โดนถาม เป็นอะไรที่ฉันคิดไม่ถึง ทำให้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ให้ไปตกตะกอนความคิดกันต่อ อัลเฟรโด้ (Alfredo) เพื่อนคนนี้แนะนำให้ฉันไปอ่านหนังสือสองเล่ม คือ 7 Habits of Highly Effective People และ The Road Less Travelled เล่มแรกนั้นยังอ่านไม่จบ แต่เล่มที่สองจบแล้วเรียกได้ว่าเปลี่ยนความคิดฉันไปเยอะมาก ทำให้ฉันเข้าใจตัวเองดีขึ้นเยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เห็นว่าพฤติกรรม ความคิด ลักษณะนิสัยของคนเรานั้นซับซ้อนกว่าที่คิดเยอะเลยทีเดียว

ทำไมฉันถึงเป็นคนไม่กล้าเสี่ยงและกลัวความผิดพลาดขนาดนี้? หลายคั้งที่ไม่ยอมลองอะไรใหม่ๆ ไม่ค่อยชอบทดลองของแปลก เพราะกลัวพลาด เลยมักจะเลือกทำในสิ่งที่มั่นใจว่าจะไม่พลาดมากกว่า (อันนี้รวมไปถึงการเลือกรสเจลาโต้ด้วยนะ ฮ่าๆ)

หรือการที่ฉันกลัวการผูกมัด อย่างเรื่องมีแฟนหรือทำงานนี่เห็นได้ชัดเลย เพราะลึกๆ ข้างในค่อยข้างอ่อนแอ เลยสร้างกำแพงหนาขึ้นมาปกป้องตัวเองไว้หลายชั้นมาก

ใครสนใจลองไปหาอ่านกันได้นะ ตอนนี้เจอใครก็ชวนคุยแต่เรื่องนี้ และแนะนำให้ไปอ่านหนังสือเล่มนี้กันทุกคนเลย

นี่เป็นสองเรื่องหลักๆ ในชีวิตของฉันในตอนนี้ ทำเค้กกับเรื่องทางจิต (ใจ) นอกนั้นก็เรื่อยเปื่อยไปวันๆ ทำงานมหาลัยส่งให้ผ่าน เรียนให้จบ แล้วชีวิตต่อไปจะเป็นยังไงก็ค่อยมาดูกันอีกที

step by step ละกันนะ

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images