Prossima Fermata: Castelrotto

อยู่ฟาร์ม ทำงานหนักมาก (หรือ?) มาสองอาทิตย์เต็มๆ อยากจะพักชีวิตฟาร์มเอาไว้สักหน่อย ขอพักผ่อนแบบเต็มที่ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานบ้าง เลยตัดสินใ...

อยู่ฟาร์ม ทำงานหนักมาก (หรือ?) มาสองอาทิตย์เต็มๆ อยากจะพักชีวิตฟาร์มเอาไว้สักหน่อย ขอพักผ่อนแบบเต็มที่ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานบ้าง เลยตัดสินใจไป couchsurfing ใน Castelrotto เมืองเล็กๆ กลางหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยเส้นทางเดินป่าขึ้นเขาเต็มไปหมด

อพาร์ตเม้นของฟิลิป (Philipp) โฮสของฉันอยู่บนเนินเขาห่างจากในตัวเมืองประมาณยี่สิบนาที เดินเล่นเฉยๆ ไม่ได้ไกลอะไรเลย ปัญหาอยู่ที่ความชันของเนินเขานั้น และกระเป๋าเป้สองใบบนหลังของฉัน ที่รวมกันแล้วหนักกว่าสิบห้ากิโลต่างหาก

กว่าจะขึ้นไปถึงนี่คือหอบแฮ่กๆ เหงื่อท่วมตัวเลยไงล่ะ

แต่วิวระหว่างทางนี่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ส่วนวิวจากในห้องพักนั้นกินขาดไปเลย


บ้านสองชั้นเล็กๆ สไตล์โมเดิร์น ห้องนั่งเล่นมีกระจกบานใหญ่ ที่เป็นประตูเปิดออกมาที่ระเบียงได้ มีโต๊ะเล็กๆ และเก้าอี้เอนสำหรับนั่งอาบแดดสองตัว มองจากระเบียงลงมาเห็นเมืองเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาแห่งนี้ทั้งเมือง

ฟิลิปย้ายจากชีวิตวุ่นวายในเมือง Nuremberg ที่เยอรมนีมาอยู่ท่ามกลางเทือกเขาในอิตาลี เขาเป็น modern cuisine chef ให้กับโรงแรมหรูใกล้ๆ แถวนี้ หลังจากที่ได้เห็นพอร์ตอาหารของเขา ฉันก็อดนึงถึงรายการ Chef’s Table ใน Netflix ไม่ได้

คือมันหรูหราไฮโซมาก

แม้จะดูเงียบๆ เข้าถึงอยากสไตล์คนเยอรมัน ฉันก็สัมผัสได้ถึงความหลงไหลในการทำอาหารของเขา โดยเฉพาะกลิ่น ใช่แล้วล่ะ เขามีเครื่องสกัดกลิ่น ที่ไม่ว่าจะเอาอะไรใส่ลงไป—จะใบไม้หรืออัลมอนด์—เจ้าเครื่องนี้จะพ่นความเป็นกลิ่นๆ นั้นออกมา นอกจากนี้เขายังทำงานในโรงกลั่นจิน คอยคิดจินรสชาติใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ต่างๆ นั่นเอง

หลังจากนั่นคุยเล่นกันสักพัก ฟิลิปก็ต้องไปเข้ากะตอนสี่โมง โชคดีที่เขาปล่อยให้ฉันนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่บ้านได้ ถ้าอยากออกไปซื้อของในเมือง หรือเดินเล่นที่ไหน ก็ออกไปได้เลย ไม่ต้องล็อคบ้าน

ชีวิตสบายๆ ดีเนอะ

ใช้ชีวิตกับผู้คนมานาน ไม่ค่อยได้มีเวลาส่วนตัวเท่าไหร่ การได้ถูกปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว มีเวลาได้อยู่กับตัวเองแบบไม่ต้องคิดมาก ไม่มีการวางแผน ไม่มีเรื่องมากวนใจ มีอพาร์ตเม้นท์ทั้งห้อง และวิวสวยๆ จากระเบียงเป็นเพื่อน นี่แหละคือการพักผ่อนของจริง

ฉันทำ Capresse Salad—มะเขือเทศกับมอสซาเรลล่าจากนมควาย (ของคุณภาพดีต้องทำจากนมควายนะ) นั่งกินสบายๆ บนระเบียง แล้วออกไปเดินเล่นชมพระอาทิตย์ตกแถวบ้าน ยอดเขา Schlern กับท้องฟ้าสีชมพูอ่อนๆ เป็นฉากหลัง


คือมันงดงามแบบที่รูปภาพไม่สามารถบันทึกไว้ได้ คือสวยจนอยากจะร้องไห้ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีที่ได้มาอยู่ท่ามกลางภูเขาที่อลังการ และได้มาสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแบบนี้ ดูในรูปอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่ความสวยงามบางอย่างไม่ใช่รูปถ่าย มันคือบรรยากาศ รอยยิ้มที่ผู้คนส่งให้กัน ความมีชีวิตชีวา ความเงียบสงบ สายลม และแสงแดดยามเย็นที่ส่องมากระทบใบหน้า

อีกสองวันต่อมาก็เหมือนกับการมาพักผ่อนแท้ๆ ไม่ใช่ทำงานแลกข้าวเหมือนสองอาทิตย์แรก


เช้าวันแรก ฟิลิปพาฉันเดินขึ้นไปบน Schlern (แต่ไม่ถึงยอดนะ) แม่ว่าเขาจะต้องไปทำงานในตอนบ่ายก็ตาม เราเดินไปกินไป แวะพักตาม Rifugio ระหว่างทางไปเรื่อยๆ ตั้งแต่มื้อเช้า (Apple Strudle) ไปจนถึงเที่ยง (Buckwheat Cake) (เห็นแพทเทิร์นแล้วใช่ไหม ว่าวันๆ ฉันกินอะไรบ้าน...) เราเดินไปเรื่อยๆ จนถึง Seiser Alm ที่ราบสูงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ช่วงหน้าร้อนที่ราบแห่งนี้เต็มไปด้วยวัวที่ฟาร์มเมอร์พาขึ้นมาปล่อยทิ้งไว้ให้กินหญ้าข้างบน


กินอิ่มแล้วก็นอนอาบแดดบนทุ่งหญ้าใกล้ๆ ลำธาร ฟังดูเป็นชีวิตที่สุขสบายเหลือเกิน

ส่วนวันรุ่งขึ้น ฉันตัดสินใจนั่งรถบัสไปขึ้นยอดเขา Seceda ตั้งแต่เช้า ตอนแรกว่าจะไม่ไปแล้วเพราะว่าค่ากระเช้าแพงเหลือเกิน (ตั้งสามสิบยูแน่ะ!) แต่สุดท้ายก็ไป เพราะไหนๆ มาแล้ว ถือว่าไปแทนป๊าที่จะมาเที่ยวแถวนี้ช่วงเดือนตุลา ซึ่งกระเช้าจะปิดไปแล้ว เลยไม่ได้ขึ้น


ข้างบนหนาวกว่าที่คิดมาก และสวยกว่าที่คิดด้วย แม้จะไม่ได้ไปเห็นแสงแรกตามสไตล์ช่างภาพ แต่แสงยามสายที่ได้ไปเห็นก็สวยใช่ย่อย ที่สำคัญไม่หนาวจนเกินไป โชคดีมากที่ฉันตั้งใจไปขึ้นให้ทันกระเช้ารอบแรก เพราะยิ่งสายๆ มาแล้วคนยิ่งเยอะ เดินตามกันเป็นขบวนเลยล่ะ


เป็นวันสุดท้ายที่ธรรมชาติช่วยเติมพลังชีวิตให้ฉัน นั่งเล่น นอนเล่น ถ่ายรูป เขียนบันทึก นอนพักใต้ร่มไม้ เอาความเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ตรงนี้เข้าไปให้ได้มากที่สุด

เพราะชีวิตในเมืองมันวุ่นวายกว่าที่ฉันคิดไว้มากนัก

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images