โลดแล่น เร่ร่อน ลอนดอน

ฉันไม่ได้อยากไปลอนดอนสักเท่าไหร่ แต่มันเป็นที่ที่คงต้องไปสักครั้ง (หรือบ่อยกว่านั้น) เมื่อมาถึงอังกฤษ บวกกับคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดีถ้าไม่ไปลอน...

ฉันไม่ได้อยากไปลอนดอนสักเท่าไหร่ แต่มันเป็นที่ที่คงต้องไปสักครั้ง (หรือบ่อยกว่านั้น) เมื่อมาถึงอังกฤษ บวกกับคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดีถ้าไม่ไปลอนดอน สก็อตแลนด์คงหนาวเกินไป ครั้นจะไป Cornwall หรือ Brighton ก็คงไม่ใช่ฤดูที่เหมาะสม แถมยังไกลอีกต่างหาก ลอนดอนเป็นทางเลือกสุดท้าย เมืองเดียวที่คงมีอะไรให้ฉันทำเรื่อยเปื่อยได้ทั้งอาทิตย์ ทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ สวนสาธารณะและตลาดที่มีอยู่เต็มเมืองเหมือนห้างเซ็นทรัลในกรุงเทพ

สำหรับฉันแล้ว ระยะแพลนทริปยังคงเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดเสมอ เพราะได้จินตนาการไปถึงร้านอาหารอร่อยๆ หลังอ่านรีวิว วางแผนว่าจะไปนั่งจิบกาแฟที่ Speedy Cafe ในซีรี่ย์เชอร์ล็อค ถ่ายรูป Abbey Road ไปฝากเพื่อนเยอรมันที่บ้า The Beatles ทุกอย่างดูสวยงามและน่าตื่นเต้นไปหมด


พอไปถึงจริงๆ นอกจากอาหารอร่อยๆ แล้วอย่างอื่นที่คิดไว้ในหัวอย่างสวยหรูนั้นไม่ได้กลายมาเป็นความทรงจำที่มีค่าเท่าไหร่ สิ่งที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้ต่างหากที่กลายมาเป็นเรื่องน่าจดจำ

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ในลอนดอน ฉันออกจากโฮสเทลแต่เช้าก่อนเก้าโมง กว่าจะกลับอีกทีก็ทุ่มนึงเป็นต้นไปจนถึงห้าทุ่ม เวลาที่ร่อนเร่อยู่ในลอนดอนก็แบ่งเป็นการเดินสักครึ่งนึง กินอีกครึ่งนึง

...ไหนว่าจะไปถ่ายรูปกับชื่นชมงานศิลปะในแกลเลอรี่ไง...

ความสุขของฉันในลอนดอนไม่ใช่ห้าง Harrods หรือ Selfridges, ไม่ใช่การได้ไปถ่ายรูปกับชานชาลาที่ 9 3/4, ไม่ใช่การเสียเงินเข้าไปใน Westminster Abbey หรือเข้าคิวรอขึ้น London Eye (ที่ว่ามานั่นได้ไปแค่ Harrods เพราะเพื่อนบอกว่าเขาตกแต่งไฟคริสต์มาสสวย) แต่คือการเดินไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย โดยเฉพาะยามค่ำคืนริมแม่น้ำเทมส์ บริเวณรอบๆ ลอนดอนอายถูกประดับประดาไปด้วยแสงสีพร้อมรับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ฉันมองไปรอบๆ ตัวแล้วปล่อยใจไปกับเสียงเพลง Yellow ของ Coldplay ที่มีนักดนตรีเปิดหมวกยืนร้องอยู่ใกล้ๆ


พูดได้คำเดียวว่า ณ. จุดนั้นคือโคตรเหงาค่ะ

นั่นคือคืนแรกในลอนดอนของฉัน หลังจากนั้นฉันเรียนรู้ที่จะอยู่คนเดียวอย่างช้าๆ สิ่งที่ฉันค้นพบเมื่ออยู่คนเดียว คือรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจดีขึ้นกว่าเดิม และมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ มากกว่าเดิม คอยถามนักท่องเที่ยวคนอื่นว่าอยากให้ถ่ายรูปให้ไหม ปรบมือเสียงดังให้นักดนตรีเปิดหมวก กล่าวขอบคุณผู้คนรอบๆ ตัวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เอ่ยปากชมอาหารรสชาติเยี่ยมที่ได้กินในมื้อนั้นๆ และชวนคนนู้นคนนี้คุยไปเรื่องเปื่อย ฉันยิ้มให้คนแปลกหน้า ยิ้มเวลาเห็นเด็กน้อยน่ารัก ยิ้มเวลาเห็นคู่รักอยู่ด้วยกิน ยิ้มเวลาเห็นตายายนั่งปิคนิคบนม้านั่งใต้ต้นไม้ในสวน ยิ้มเวลาแดดออก ยิ้มเวลาที่เห็นพระอาทิตย์ตก

เพราะเวลาอยู่คนเดียว ไม่มีใครมานั่งบ่นกับตัวเองแล้วทำหน้าเบ้ ไม่พอใจไปกับทุกเรื่องหรอก จริงไหม?

แต่ก็ไม่ใช่ว่าโลกของฉันสวยงามตลอดเจ็ดวันที่อยู่ในลอนดอนนะ

ที่น่าผิดหวังที่สุดคงเป็นบ้านชองเชอร์ล็อคในซีรี่ย์ที่อยู่บน Speedy's Cafe แถวๆ Euston Square ด้วยความที่เชอร์ล็อคเป็นซีรี่ย์โปรดตลอดกาลของฉัน เลยอุตส่าห์ถ่อไปถึงที่ในวันที่อากาศ พอไปเห็นกับตามันก็เป็นแค่คาเฟ่บนถนนเส้นเล็กเงียบๆ เส้นหนึ่งที่แทบไม่มีรถวิ่งผ่าน (แต่มีรถจอดเต็มสองข้างทาง) ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีความสวยงาม น่านั่งจิบกาแฟ กินลม ชมวิว ไม่มีอะไรสักอย่างเลยนั่นเอง ฉันไม่คิดแม้แต่จะหยิบกล้องที่คล้องคออยู่มาถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ (แต่แอบล้วงเอาไอโฟนมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานหน่อย ว่ามาถึงละนะ ไม่มีอะไรพิเศษเลยจ้า)

Primrose Hill at dust

มีอีกวันที่ฉันตั้งใจจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกบน Primrose Hill อ่านรีวิวเว็บอะไรสักอย่าง เขาบอกว่าให้เดินตัด Regent's Park ไปชิลๆ แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือขี้เกียจเดินก็ขึ้นรถบัสไปลงสถานี Chalk Farmแล้วเดินสิบนาทีก็ถึง ถ้าปกติฉันคงเลือกที่จะเดินผ่านสวน แต่วันนั้นลองคำนวนเวลาดู ถ้าเลือกเดินกว่าจะขึ้นไปถึงก็มืดพอดี เลยกระโดดขึ้นรถบัสไปลง Chalk Farm ด้วยความมุ่งมั่นและคาดหวัง วันนี้ท้องผ้าใสแจ๋ว ไม่มีสักก้อน ขึ้นไปถึงข้างบนต้องสวยแน่ๆ

พอกลับไป Primrose Hill อีกรอบ เลือกเดินผ่าน Regent's Park ช่วงพระอาทิตย์ตกดินพอดี แสงสวยสุดๆ

พอไปถึงสถานีปลายทาง Chalk Farm ปรากฏว่ามันมาจอดข้างๆ ซุปเปอร์มาร์เก็ต Morrisons ค่ะ...เช็คดูในแผนที่คือต้องข้ามทางรถไฟไปอีกฝั่ง ถามคนขับรถบัสก็ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นมืดแล้วอีกต่างหาก เลยตัดสินใจเดินกลับไปแถวๆ Camden Market แล้วถามคนแถวนั้นต่อ อารมณ์ประมาณว่าตั้งใจไว้แล้ว ยังไงก็จะไปให้ถึง Primrose Hill ให้ได้ พ่อค้าขายโปสการ์ดแถวนั้นลองหาทางไปในอินเตอร์เน็ตให้ บอกเรียบร้อยว่าบัสสายไหน ไปขึ้นที่ไหน พอฉันจะขึ้นรถบัสเท่านั้นแหละ คนขับบอกไม่จอดสถานี London Zoo

อะไรจะซวยขนาดนั้น

Camden Market  สู้ตลาดนัดจตุจักรบ้านเราไม่ได้ด้วยซ้ำ

ฉันเดินกลับไปที่ Camden Market นั่งดื่มชาฟรีใน Waitrose ก่อนจะตัดสินใจนั่งใต้ดินเข้าไป Leicester Square เพื่อนไปหาตั๋วละครเพลงถูกๆ ดู

ด้วยความที่ไม่เคยดูละครเวทีหรือละครเพลงมาก่อนในชีวิต ไม่มีความรู้เลยสักนิดว่าเรื่องไหนดี เรื่องไหนดูแล้วคุ้ม เลือกที่นั่งต้องเลือกยังไง เดินเข้าๆ ออกๆ บู้ทขายตั๋วเกือบทุกบู้ทแถวนั้น ไล่ถามราคาไปเรื่อยๆ ก่อนจะตัดสินใจว่าฉันจะไม่จ่ายเงินพันกว่าบาทโดยไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นยังไง ขอเวลากลับไปศึกษาหาข้อมูล อ่านรีวิวของละครเพลงแต่ละเรื่องก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่ละกัน
ถ้ากลับโฮสเทลตอนนั้น วันนั้นคงเป็นว่าที่จบไม่สวยเท่าไหร่นัก

แต่เลือกที่จะเดินเตร็ดเตร่แถวๆ Leicester Square สักพัก ไปดูว่าโรงละครต่างๆ อยู่ตรงไหนกันบ้าง เผื่อจะไปถามราคาผ่าน Box Office ของที่นั่นโดยตรงเลย เดินอยู่ดีๆ กลับไปเจอกับฝูงชนมหาศาลที่กำลังปีนป่าย เขย่งเท้าดูอะไรบ้างอย่างอยู่หน้าโรงหนัง Odean ฉันเลยตัดสินใจไปร่วมแจมกับเขาด้วย (ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่นา) ส่องไปส่องมาถึ่งได้ค้นพบว่ามันคือ Mockingjay World Premiere!



ไหนๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วคืนนี้ อยู่รอดู Katniss กับ Peeta เลยละกัน

เหมือนเวลาดู World Premiere ในยูทูป พิธิกรก็คนเดียวกัน ฉากเหมือนกันทุกอย่าง แค่มองจากคนละมุม คือดูผ่านยูทูปเหมือนจะยิ่งใหญ่มาก แต่จริงๆ แล้วก็คนธรรมดา เดินๆ พูดๆ แจกลายเซ็นต์หน่อย แล้วก็กลับ แค่นี้เอง แต่ก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ ที่หาไม่ได้ง่ายๆ


ที่สำคัญ แซม (Sam Claflin) หล่อมากค่ะ

ยืมเกร็งกล้ามขา เขย่งเท้าจนเมื่อยเกือบสองชั่วโมงจนงานเลิก ฉันจึงขึ้นรถใต้ดินกลับโฮสเทลอย่างมีความสุข

น่าแปลกดีนะ จากการที่หลงทางใน Camden Town กลับมาหาตั๋วละครเพลงแถว Leicester Square แล้วเดินเตร็ดเตร่ไปมาจนมาเจอ World Premiere ของหนังดังระดับโลก

ชีวิตคนเรานี่มันขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีแน่นอนจริงๆ เดี๋ยวหลงทาง เดี๋ยวโชคดี เดี๋ยวตกรถบัส เดี๋ยวของหาย เดี๋ยวได้ของฟรี สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้โดยตรงจากเหตุการณ์ในวันนั้นคือ เมื่อไหร่ที่โชคร้าย อดทนไปอีกสักพักเดี๋ยวมันก็โชคดีเองนั่นแหละ


ยังคิดอยากดูละครเพลงไม่หาย เลยลองขอคำแนะนำจากรูมเมตชาวออสเตรเลียดู เธอบอกว่าเคยดู Once มาแล้ว (คือฉันชอบเวอร์ชั่นหนังมาก) ประทับใจดี แต่ตอนนี้อยากดู Matilda เพราะโปรดิวเซอร์เพลงของเรื่องนี้เจ๋งมาก ว่าแล้วฉันจึงไปหาดูรีวิวของ Matilda ออนไลน์ ได้ตั้ง 4-5ดาว เลยตัดสินใจจะไปดูเรื่องนี้แหละ ตอนเด็กๆ เป็นหนังสือเล่มโปรดของฉันซะด้วย (แม้ตอนนี้จะลืมไปหมดแล้วก็เถอะ)
ฉันชวนมิเชลล์ไปดูด้วยกัน เราไปนั่งกินมื้อเย็น/ดื่มชาแถวๆ Covent Garden ติดกับโรงละครกันก่อนที่ละครเพลงจะเริ่ม


ตลอดเวลาสามชั่วโมงที่นั่งอยู่ในโรงละครมีแต่ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะ ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับฉากสวยๆ และการแสดงของเด็กๆ ทั้งร้องทั้งเต้นที่พร้อมเพรียง นัน่ารักสดใสและเก่งกันซะจนฉันต้องปรบมือให้ดังๆ พอดูจบแล้วคิดอยากหาโอกาสมาดูละครเพลงอีกสักเรื่องทันที (ถ้าไม่ติดว่าตังหมดซะก่อนนะ) เป็นประสบการณ์ในการดูละครเพลงครั้งแรกที่ฉันประทับใจสุดๆ ไปเลย



ไหนว่าจะไปเดินพิพิธภัณฑ์ เยี่ยมชมแกลเลอรี่ หาความรู้เข้าสมองเหมือนนักเรียนศิลปะคนอื่นเขาทำกันไง? แน่นอนว่าฉันไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ดังๆ อย่าง V&A และ Tate Modern อยู่แล้ว ฉันไม่ค่อยถูกใจกับ V&A เท่าไหร่ เพราะมันเป็นศิลป่ะเก่าๆ แต่ดันไปชอบใจ Natural Sceince Museum ที่อยู่ข้างๆ แทน โดยเฉพาะโซน Minerals ที่มีหินและอัญมณีสวยๆ วางโชว์เต็มไปหมด แถมตึกของ museum ยังสวยอีกต่างหาก ส่วน Tate นี่น่าสนใจใช้ได้เลยทีเดียว (แม้จะมีงาน abstract ที่ฉันไม่ค่อยเก็ทอยู่มากก็ตาม)


ตอนที่เดินเล่นอยู่แถวๆ Oxford  Street สายตาก็ไปสะดุดกับ Photographer's Gallery เข้า นิทรรศการที่โชว์อยู่ตอนนั้นเกี่ยวกับ Fashion Photography เดินดูเพลินดี ส่วน British Museum นี่แวะไปถ่ายรูปเฉยๆ เพราะห้องโถงด้านในสวยมาก เพื่อนเพิ่งมาบอกทีหลังว่า collection เงินตราจากทั่วโลกน่าสนใจดี (แต่นอกนั้นน่าเบื่อหมด)

ในลอนดอนมีสวนสาธารณะอยู่เต็มไปหมด นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันเกลียดเมืองหลวงของอังกฤษแห่งนี้ไม่ลง แม้จะเป็นเมืองใหญ่ วุ่นวาย เต็มไปด้วยตึกสมัยใหม่ไม่สวยงามเหมือนเมืองเก่าหลายๆ แห่งในยุโรป แต่อย่างน้อยชาวลอนดอนก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเสมอ แถมสวนเหล่านี้ยังมีดีตรงห้องน้ำฟรีที่สะอาดสุดๆ อีกต่างหาก


ฉันได้ลองไปเดินเล่นมาหมด ตั้งแต่ Hyde Park, Regent Park, Greenwich Park และ St. James Park แต่ละที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่แตกต่างกัน เหมือนเป็นโอเอซิสของเมืองนั่นแหละ ยิ่งถ้าวันไหนอากาศดี หรือไปเดินช่วงบ่ายๆ พระอาทิตย์กำลังตกดิน บรรยากาศโรแมนติกได้อีก (ขนาดไปคนเดียวยังรับรู้ได้ถึงความโรแมนติกอ่ะ คิดดูละกัน)


สวนที่ฉันประทับใจมากที่สุดในลอนดอนคงหนีไม่พ้น St. James Park ใกล้ๆ Buckingham Palace ที่มีคลองเล็กๆ ไหลผ่าน มองสูงขึ้นไปอีกนิดจะเป็น London Eye เป็นฉากหลัง งดงามสุดๆ ฉันนี่ถ่ายรูปมุมเดิมซ้ำๆ ไม่หยุดเลย


ลอนดอนผ่านสองตาของฉัน เป็นเมืองที่ไม่ได้โดดเด่นด้านด้านหนึ่งเป็นพิเศษ ความงามและความโรแมนติกนั้นสู้โรม ปารีส หรือปรากไม่ได้อยู่แล้ว แต่ลอนดอนมีครบทุกรสชาติ ทั้งอาหารจากทั่วโลก ตึกเก่า ตึกใหม่ พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ธรรมชาติ ความวุ่นวาย และไนต์ไลฟ์

มันคือเมืองหลวง All-In-One จริงๆ

ปล.  ไอ้พวก Tower of London, Tower Bridge, Big Ben, Westminster Abbey อะไรพวกนั้น ฉันก็ไปมานะ แต่คิดว่ารูปแบบนั้นหลายคนคงเห็นกันจนเบื่อแล้วล่ะ


You Might Also Like

0 comments

Flickr Images