หนึ่งสัปดาห์ในลอนดอน โดดเดี่ยวไม่เดียวดาย

ปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์ เพื่อนๆ เขากลับบ้านกันหมด บ้านเรามันอยู่ห่างออกไปอีกทวีป เลยต้องหาอะไรทำแก้เหงา ตอนแรกว่าจะไปทริปใกล้ๆ อย่างไป couchsurf...

ปิดเทอมหนึ่งอาทิตย์ เพื่อนๆ เขากลับบ้านกันหมด บ้านเรามันอยู่ห่างออกไปอีกทวีป เลยต้องหาอะไรทำแก้เหงา ตอนแรกว่าจะไปทริปใกล้ๆ อย่างไป couchsurfing ที่ York และ Whitby แต่หาโฮสไม่ได้ พอดีเห็นตั๋วรสบัสไปลอนดอนราคาโคตรถูก (ไปกลับ 11£) แถมยังมีโปรโมชั่น weekly rate ของโฮสเทลแถว King's Cross ว่างอยู่เตียงหนึ่งพอดี เลยจัดการจองทุกอย่างแบบไม่รอช้า

ทั้งๆ ที่ยังไม่มีแผน และไม่รู้ว่าจะไปกับใคร

แผนเที่ยวมันทำกันได้ง่ายๆ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ส่วนเพื่อนไปด้วยน่ะ ฉันไม่ต้องการอยู่แล้ว เพราะตั้งใจจะไปถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ เดินเล่นริมแม่น้ำเทมส์ กลัวคนไปด้วยจะเบื่อซะก่อน

แต่ถ้าถามว่าไปคนเดียว กลัวไหม คือโคตรกลัว โคตรกังวล โคตรระแวง

แน่อยู่แล้วล่ะ เป็นผู้หญิงคนเดียว อายุสิบเก้า ไม่เคยเข้าลอนดอน เที่ยวคนเดียวไม่กลัวเท่าไหร่ แต่นี่คือเมืองหลวงที่วุ่นวาย ไม่ใช่เมืองเล็กๆ แบบที่ฉันเคยชิน กังวลไปหมด โฮสเทลจะเป็นยังไง นี่ต้องรีบกลับที่พักก่อนมืดรึเปล่า (ช่วงนี้ห้าโมงเย็นก็มืดแล้วนะ...) เดินไปไหนมาไหนคนเดียวตอนกลางคืนอันตรายไหม แล้วนี่ไปตั้งเจ็ดคืนแปดวัน (จองไปเพราะที่พักถูกอย่างเดียวเลย) จะไปทำอะไรคนเดียว คงได้ไปลงเอยที่ร้านกาแฟ นั่งอ่านหนังสื เขียนบันทึกแน่ๆ


จนลงจากรถที่ Victoria Coach Station แล้วก็ยังไม่มั่นใจ ลอนดอนไม่เห็นจะมีอะไรสู้ปารีสได้สักอย่าง เหมือนเมืองหลวงทั่วไปนี่เอง

ฉันแบกกระเป๋าเป้และกระเป๋าเสื้อผ้าหนักๆ ของตัวเอง พยายามหาทางไปโฮสเทล ปวดฉี่สุดๆ เพราะห้องน้ำบนรถบัสโคตรเหม็น

กระเป๋าหนัก เดินไกล ปวดฉี่ หลงทาง

ณ จุดนั้น ฉันคิดในใจว่าจะจองตั๋วรถบัสใหม่ เสียเงินเพิ่มช่างมัน อยากกลับหอพักรูหนูของตัวเองแล้ว นี่คิดยังไงไปลอนดอนทั้งอาทิตย์ตัวคนเดียวเนี่ย

ไปๆ มาๆ ครบเจ็ดวันแล้ว ไม่อยากกลับบ้านค่ะ ยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากเห็น อีกหลายที่ที่อยากไป อีกหลายจานที่อยากชิม

ที่คิดว่าต้องเดินเหงาๆ ถ่ายรูปในลอนดอนคนเดียวก็ผิดคาด เพราะเจอเพื่อนใหม่ ไปไหนมาไหนกับคนอื่นตลอด ไม่มีวันไหนที่อยู่คนเดียวตั้งแต่เช้าจรดเย็นสักวัน ส่วนไอ้ที่ตั้งใจจะมาถ่ายวิดีโอ กลับไปตัดต่อคลิปสวยๆ นั้นลืมไปได้เลย ที่ถ่ายๆ มาไม่สวยเหมือนที่คิดไว้ในหัวเลยสักนิด

คิดซะว่าแลกกับมิตรภาพและเพื่อนใหม่อีกสองคนก็คุ้มนะ


Lena/Russia/18

เลน่าโพสในเว็บ couchsurfing ว่าเธอจะมาลอนดอนคนเดียว และหาเพื่อนเดินเล่นในเมืองด้วยกัน ฉันส่งข้อความไปหาเธอ (ว่างทุกวันเลยค่ะ อยากแฮงก์เอ้าท์วันไหนบอกมา) เราตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นที่ Hyde Park และไปกินอาหารมังสวิรัติด้วยกันต่อ

ครั้งแรกที่ฉันเห็นสาวรัสเซีผมบลอนด์ตาฟ้าหุ่นดีคนนี้ ฉันคิดในใจว่าเธอดูเงียบๆ และเยือกเย็นสมกับมาจากรัสเซียสุดๆ แต่พอคุยกันไปได้สักพักเธอเป็นคนที่น่ารักและจิตใจดีสุดๆ

มันเป็นลอนดอนในวันที่แดดออกและอากาศดี กิจกรรมหลักของเราเลยหนีไม่พ้นการเดินเล่นรอบๆ Hyde Park ถ่ายรูป และคุยกันไปเรื่อยเปื่อย เลน่าเป็นนักเดินทางคนแรกที่ฉันเจอและอายุน้อยกว่าฉัน (แม้จะไม่กี่เดือนก็เถอะ) แต่มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวสูงพอสมควร เราคุยกันเรื่องภาษา อาหาร วัฒนธรรม ศิลปะ หลังจากไปกินบุฟเฟต์ที่ร้าน 222 Veggie Vegan กันเสร็จแล้ว เลน่ามีนัดเจอกับโฮสจาก couchsurfing ของเธอ เรากอดลากันและหวังว่าจะได้พบกันอีก


แล้วเราก็ตกลงมาเจอกันอีกวันรุ่งขึ้นที่ Greenwich เดินเล่นเรื่อยเปื่อยในสวนอีกเช่นเคย ก่อนจะกลับเข้าตัวเมืองลอนดอน กินอาหารอินเดีย และเดินเล่นริมแม่น้ำเทมส์ยามเย็น เลน่าคะยั้นคะยอให้ฉันไปมีทติ้งของ couchsurfing ในคืนนั้น ส่วนเธอจะกลับไปหาโฮสของเธอ

น่าแปลกที่กับคนบางคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก หาเรื่องมาคุยกันได้ทั้งวัน ในขณะที่บางคนเห็นหน้ากันทุกวัน แค่สิบห้านาทียังคิดเรื่องคุยกันไม่ออก ต้องนั่งก้มหน้าเล่นมือถือในความเงียบ

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เลน่าจะขึ้นเครื่องบินกลับรัสเซียในวันรุ่งขึ้น เรากอดลากันอีกครั้งและหวังว่าจะได้พบกันอีก

เรายังคุยกันอยู่เรื่อยๆ ทาง whatsapp แลกเปลี่ยนสูตรอาหารและวางแผนการเดินทาง เลน่าอาจจะกลับมาอังกฤษอีกครั้งต้นปีหน้า และเราอาจจะได้เจอกันอีก


Michele/Singapore/25

ต้องขอบคุณเลน่าที่ทำให้ฉันได้มาเจอกับมิเชล์ที่ couchsurfing meeting ในชั้นใต้ดินของ Wetherspoon มันเป็นมีทติ้งที่คนเยอะแยะอึดอัดไปหมด ฉันเหนื่อยสุดๆ และอยู่ที่แค่สองทุ่มครึ่งก่อนกลับโฮสเทล แต่ก็ได้คุยกับมิเชลล์และคนอื่นๆ จากมีทติ้งเล็กน้อย เราแลกเบอร์กับก่อนฉันกลับ พอวันรุ่งขึ้นส่งข้อความคุยกัน แล้วนัดไปดูละครเพลงด้วยกันแถวๆ Leicester Square

การได้มารู้จักกับมิเชลล์ เหมือนเจอตัวเองในวัยยี่สิบห้าเวอร์ชั่นตื่นสายและชอบปาร์ตี้ มิเชลล์เป็นทำงานเป็นครีเอทีฟในบริษัทจัดอีเวนท์ที่สิงคโปร์ เธอลางานเกือบห้าเดือนแล้วมาเที่ยวคนเดียวรอบยุโรป ฉันถามเธอว่าเที่ยวมาสามสี่เดือนแล้ว เจอผู้หญิงเอเชียที่เที่ยวคนเดียวบ้างไหม
เธอหยุดคิดย้อนกลับไป แล้วบอกว่าไม่

เรามันคนกลุ่มน้อยจริงๆ สินะ

หลังจากวันนั้นแล้ว เรายังมาเจอกันอีกสองครั้ง ไปเดินดูนิทรรศการกราฟฟิคดีไซน์ เดินเล่นริมแม่น้ำเทมส์ และนั่งคุยกันในร้านกาแฟที่ Shoredict เป็นอีกเคสที่เราหาเรื่องมาคุยกันได้มากมาย ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว วัฒนธรรมและแนวคิดที่แตกแต่งของสองซีกโลก และที่ขาดไม่ได้คือเรื่องอาหารเอเชียที่พวกเราทั้งสองคิดถึง

หนึ่งเดือนถัดมา มิเชลล์มาหาเพื่อนของเธอที่ลีดส์ เรานัดเจอกันอีกสองครั้ง ไปกินข้าว ดื่มค็อกเทล และดินเนอร์ด้วยกันกับเพื่อนชาวอังกฤษของเธออีกคน หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์เวลาในยุโรปของเธอก็หมดลง

มิเชลล์ตั้งใจจะกลับไปเก็บเงินอีกสักปีสองปี เรียนภาษาเยอรมัน แล้วมาหางานทำในยุโรป

เวลามาเจอคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน มีอุดมการณ์คล้ายๆ กัน เป็นเป็นผู้หญิงเหมือนกันนี่มันเหมือนเติมไฟความฝันให้ฉันจริงๆ นะ

ถ้ามิเชลล์เที่ยวคนเดียวในยุโรปได้เกือบครึ่งปีตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบห้า สักวันหนึ่งฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน



Naomi/USA/20

เพื่อนชาวฮ่องกงของเนโอมิจับปากกาประหลาดๆ เหมือนฉัน นั่นเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้เธอมานั่งกินข้าวเช้าในโฮสเทลโต๊ะเดียวกัน แล้วเราก็ไปเดินชม Tate Modern ด้วยกันในคืนวันนั้น

เนโอมิเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-มาเลเซียจากเท็กซัส แต่ตอนนี้เธอมาแลกเปลี่ยนที่เวียนนาเป็นเวลาหนึ่งเทอม และแวะมาเที่ยวลอนดอนสามวัน (เจอพลังดึงดูดของตั๋วถูกเหมือนฉันนั่นเอง) เธอเรียนบัญชีไมเนอร์ธุรกิจเกี่ยวกับการดนตรี และเล่นไวโอลินในวงออเคสตร้า ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่เราเดินอยู่ใน Tate Modern นั้น เธอทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าใครกันแน่ที่เป็นนักเรียนศิลปะ เพราะเธอวิเคราะห์งานศิลปะแต่ละชิ้นแบบลึกซึ้งและเต็มไปด้วยศัพท์เทคนิค ชิ้นนี้มาจากยุคนู้น สไตล์นี้ ที่ฉันไม่รู้เรื่องสักอย่าง ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ไปตามประสา และชวนเปลี่ยนเรื่องคุยซะเลย

คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าเธอเป็นนักเรียนโฮมสคูลตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาลัย ฉันที่เคยโฮมสคูลจนถึงป.สี่เลยรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกว่าเราสองคนได้รับการเลี้ยงดูมาให้ครอบครัวที่คล้ายๆ กัน เพียงแต่เนโอมิจะออกแนวเวสเทิร์นมากกว่าหน่อย (ถ้าครอบครัวฉันอยู่อเมริกาบ้าก็คงไม่ต่างกันหรอก) พ่อกับแม่บอกเธอตั้งแต่ประถมว่าจะไม่ออกเงินค่ามหาลัยให้ อยากเรียนต้องได้ทุนหรือเก็บตังเอง/กู้เท่านั้น เธอจึงตั้งใจเรียนสุดๆ จนสอบ SAT ได้คะแนนสูงสุด 1% ของประเทศ และได้ทุนเต็มเข้าเรียนมหาลัย ส่วนที่เธอมาแลกเปลี่ยนที่ออสเตรียนั้นมหาลัยก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้

ทุกวันนี้ขนาดฉันมาอยู่อังกฤษแล้วยังหางานไม่ได้เลยจ้า

นอกจากสามคนด้านบนแล้ว ยังมีสาวสวิสที่ทำงานในสกีรีสอร์ท และลาพักร้อนไปเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย ต่อด้วยเที่ยวเอเชียอีกสองสามเดือนเมื่อปีที่แล้ว กับพี่คนไทยที่เปิดร้านขายสมุดและกระเป๋าหนังที่ตลาดนัดใน Brick Lane

ตลอดเจ็ดวันในลอนดอน ฉันได้เจอผู้คนเยอะแยะ และใช้เวลาไปกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะและคุยกันเป็นส่วนใหญ่ ลอนดอนอายก็ไม่ได้ขึ้น Abbey Road ก็ไม่ได้ไป Buckingham Palace นี่ได้ไปเห็นแค่แวบๆ ในวันสุดท้ายที่ต้องตะลอนทัวร์สถานที่ดังๆ อย่าง Westminster Abbey, Tower Bridge, Borough Market ก่อนกลับ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามาไม่ถึงลอนดอน

ดีนะเนี่ยที่ไม่ได้ซื้อตั๋วกลับก่อน เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้วเจ็ดวันในลอนดอนมันไม่พอสำหรับ slow traveller อย่างฉันจริงๆ

You Might Also Like

0 comments

Flickr Images