iceland
Seljaladsfoss
Skogarfoss
Vik
Vik—เมื่อหิมะตกในเมืองริมทะเล
17:52:00Vik เป็นเมืองที่เราพลาดอะไรไปมากที่สุด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเช่นกัน
ระหว่างทางจาก Golden Circle ไป Vik มีที่ให้แวะเที่ยวเยอะแยะไปหมด นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เรานอนใน Golden Circle เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ค่อยๆ ขับรถ และแวะถ่ายรูปตามข้างทางได้อย่างเต็มที่
เราแวะซื้อของกันที่เมือง Selfoss เมืองใหญ่เมืองสุดท้ายที่เราจะได้แวะในอีกสี่วันข้างหน้า (แต่ที่ Vik ก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่เล็กจนเกินไปนะ) จากนั้นจึงขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนน้ำตก Seljalandsfoss โผล่มาให้เห็นตั้งแต่ยังอยู่บนถนน เลี้ยวเข้าไปจากถนนหลักนิดนึงก็จะถึงที่จอดรถของน้ำตก ตรงนี้มีทั้งห้องน้ำ ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ขายขนมขบเคี้ยว ซุปร้อนๆ และฮอทดอกด้วย
Seljalandsfoss
เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ น้ำตกเลยมีน้ำเยอะเป็นพิเศษ ไม่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อเดินไปหลังน้ำตก กลับออกมาอีกทีคือเปียกทั้งตัวเลยล่ะ ใครอยากไปถ่ายรูปน้ำตกนี้สวยๆ ให้ไปช่วงอื่นนะ คิดว่าหน้าร้อน พอหญ้ารอบๆ เป็นสีเขียว น้ำแห้งไปบ้าง น่าจะสวยกว่านี้มากSkogarfoss ก็เช่นกัน ช่วงนี้ยังดูแห้งแล้งไปนิด แต่ก็ยังพอถ่ายรูปได้ น้ำตกนี้หันไปทางทิศใต้ ถ้าไปช่วงบ่ายๆ เมื่อใดที่แดดส่อง จะได้เห็นรุ้งกินน้ำทอดเป็นครึ่งวงกลมอยู่เหมือนซุ้มอยู่หน้าน้ำตก แลดูอลังการงานสร้างสุดๆ ไปเลย ยิ่งพอเข้าไปยืนใกล้ๆ นะ จะรู้สึกว่าตัวเล็กเป็นมดไปเลยล่ะ
ผ่านน้ำตกชื่อดังสองแห่งไปแล้ว ก็มาถึง Vik สักที เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ทั้งหาดทรายดำและหน้าผาที่มีหินสีดำเป็นแท่งๆ หน้าผาที่มีรูคล้ายเป็นประตูอยู่ด้านล่าง และแท่งหินกลางทะเลที่มีจุดชมวิวถึงสองสามจุด
Reynisfjara
ตอนดูในแผนที่ของ Google Maps เราคิดว่าการจะไป Dyrhólaey หรือหน้าผามีรูได้นั้น ตอนเดินไปเป็นกิโล เราจึงเลือกไป Reynisfjara หรือหาดทรายดำกันก่อน (เลี้ยวเข้าไปในถนนสาย 215) ที่นี่นอกจากหน้าผาที่มีหินเป็นแท่งๆ กับหาดทรายสีดำแล้ว ก็ไม่มีจุดอื่นให้ถ่ายรูป จะถ่ายแท่งหินกลางทะเล (Reynisdrangur) รึก็มุมต่ำไปนิด แถมยังเป็นมุมอับ โดนหน้าผาบังอีกต่างหาก
จากจุดชมวิวหาดทรายดำบนถนนหมายเลข 218
เรามารู้กันทีหลัง ว่าการจะไป Dyrhólaey นั้น แม้ในแผนที่จะดูเหมือนต้องเดิน แต่ที่จริงมันคือถนนลูกรังที่ขับรถเข้าไปถึงได้ แค่เลี้ยวเข้าไปตามถนนสาย 218 เท่านั้นเอง ตรงไปเรื่อยๆ เลยจะเป็นจุดชมวิวหาดทรายดำและแห่งหินกลางทะเลที่สวยงามมาก ส่วนทางเลี้ยวซ้ายขึ้นเขาจะไป Dyrhólaey มีลานจอดรถเรียบร้อย เดินอีกไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว ถนนเส้นนี้ถ้าฝนตกหรือลมแรงอาจจะต้องใช้ 4W เท่านั้นเอง
จุดชมวิว Reynisdrangur อีกแห่งต้องขับรถเลยทางเข้าตัวเมือง Vik ไป แล้วเลี้ยวเข้าไปจอดในปั๊ม N1 ข้างทางที่มีร้านอาหารและร้านขายของ จากตรงนั้นมีทางเดินไปริมหาดประมาณ 500 เมตร (มั้ง) เป็นมุมยอดฮิตสำหรับถ่ายพระอาทิตย์ตก เพราะเห็นแท่งหินเหล่านั้นแบบชัดๆ ไม่มีอะไรมาบังเลย (ที่เราพลาดอีกแล้ว เพราะเพิ่งมารู้เอาก่อนกลับนี่เอง)
ใช่แล้วล่ะ..หิมะตกริมทะเล! สิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นกับตากลับมาให้เห็นอยู่ตรงหน้านี้เอง
สภาพอากาศที่นี่ย่ำแย่ตั้งแต่คืนวันแรกที่มาถึง เรามองออกไปนอกหน้าต่างเช้าวันรุ่งขึ้นก็ต้องอึ้งกับสวนที่กลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด แม้หิมะจะหยุดตกไปในช่วงเช้า แต่ลมก็แรงมากจนออกไปไหนไม่ได้ เราเลยขับรถเล่นรอบๆ เมือง ขึ้นไปส่วนรวจบน Dyrhólaey พอจะขับกลับที่พักอีกมี ปรากฏว่าหิมะเริ่มตก และตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถนนกลายเป็นสีขาวสว่าง ข้างทางเต็มไปด้วยหิมะหนาถึงขนาดว่ามีรถติดหิมะต้องจอรอไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว
เมือง Vik ในหิมะ
สรุปแล้ว ไฮไลต์ใน Vik ของเราเป็นอะไรธรรมดาๆ อย่างหิมะที่โปรยปรายลงมาบนเมืองเล็กๆ ริมทะเลนั่นเอง
...อาจจะธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ สำหรับพวกเรา
0 comments