Jokulsarlon—หิมะ หาดทราย น้ำแข็ง ทะเล

มันคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆ ตลอดสองวันสองคืนที่เราอยู่ที่นี่ เป็นช่วงเวลาที่ได้ถ่ายรูปเยอะที่สุดแล้ว เพราะมีทั้ง Skaftafell (หรือท...

มันคือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆ

ตลอดสองวันสองคืนที่เราอยู่ที่นี่ เป็นช่วงเวลาที่ได้ถ่ายรูปเยอะที่สุดแล้ว เพราะมีทั้ง Skaftafell (หรือที่เรียกรวมกันว่า Vatnajokull ไปแล้ว) และ Jokulsarlon ให้ได้ไปเดินเที่ยว ถ้ามาหน้าหนาว ยังมีถ้ำน้ำแข็ง Crystal Cave อีกด้วย คงต้องอยู่เพิ่มอีกสักคืนแน่ๆ


ระหว่างทางเดินกลับจาก Svartifoss เห็นสายฝนกำลังเริงระบำมาแต่ไกล

ขับรถมาจาก Vik เราแวะเข้า Skaftafell กันก่อน เพื่อเดินไปดูน้ำตก Svartifoss เป็นทางเดินเทร็คกิ้งสั้นๆ ประมาณ 2 กิโลเมตร น้ำตกนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยัน ว่าช่วงเวลานี้ไม่เหมาะที่จะเที่ยวน้ำตกในไอซ์แลนด์จริงๆ ลองจินตนาการภาพ Svartifoss แบบโขดหินและภูเขาด้านหลังเป็นสีเขียวๆ คงจะดูชุ่มชื้นดีกว่านี้

จากน้ำตก Svartifoss ถ้าเลือกที่จะเดินย้อนกลับทางเดิมจะใกล้กว่านิดนึง แต่แนะนำให้เดิน loop ไปเลยดีกว่า ไกลกว่ากันแค่ 400 เมตร สิ่งที่ทำให้ 400เมตรนี้ไม่เป็นการเดินอ้อมไปอย่างเสียเปล่า คือ ทางเดินเลี้ยวขวาขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ ที่จะสามารถมองเห็นเทือกเขาและธารน้ำแข็งแบบใกล้ๆ ได้ 180 องศา

ทางไปดูธารน้ำแข็ง Svinafellsjokull
พอกลับออกมาจากน้ำตกแล้ว ขับรถต่อไปบนถนนหมายเลข 1 สักประมาณห้านาที (หรือใกล้กว่านั้นด้วยซ้ำ) จะเจอทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังถนน Svinafellsjokulsvegur สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเดินเส้นทางไกลๆ ไปชมธารน้ำแข็ง แนะนำให้เลี้ยวเข้าไปเลย ขับเข้าไปจนสุดทาง ประมาณ 2กิโลเมตร แล้วเดินต่ออีกแค่ห้านาที จะเข้าไปใกล้ธารน้ำแข็งแบบสุดๆ เรียกว่าถ้าเขาไม่เอาอะไรมากั้นไว้ ก็กระโดดไปเดินเล่นบนน้ำแข็งได้เลยทีเดียว

ชมธารน้ำแข็งขนาดมหึมาอย่างใกล้ชิด ที่ Fjallsarlon

ระหว่างทางจาก Skaftafellไป Jokulsarlon มีจุดชมวิวเล็กๆ น้อยๆ ให้แวะจอดรถตลอดทาง ที่พลาดไม่ได้เลยคือ Fjallsarlon โดยเฉพาะคนที่ไปช่วงหน้าหนาว หรือช่วงที่ยังมีหิมะอยู่ ที่นี่เป็นเหมือน Jokulsarlon ไซส์มินิ แต่เงียบสงบมาก และเห็นธารน้ำแข็งแบบใกล้สุดๆ ถ้าช่วงที่ไปมีหิมะตก อาจจะขับเข้าไปลำบากนิดนึง เพราะไม่ได้เป็นถนนลาดยาง

ถนนแคบๆ อีกเส้นที่อยากแนะนำให้ลองเลี้ยวเข้าดู อยู่ก่อนถึงทางเข้า Fjallsarlon เล็กน้อย ไม่มีชื่อถนน ไม่มีใน Google Maps ที่เราค้นพบมันก็เพราะแอป Pocket Earth ใน iPad เลี้ยวเข้าไปแล้วให้ขับไปจนสุดทาง มันคืออีกฝั่งหนึ่งของ Fjallsarlon นั่นเอง ถ้าไปถึงตัวลากูนแล้วเดินเลาะไปทางซ้ายเรื่อยๆ จะสามารถเข้าใกล้ธารน้ำแข็งอันเป็นต้นกำเนิดของลากูนแห่งนี้ได้ ใกล้ถึงขั้นเห็นก้อนน้ำแข็งค่อยๆ แตกแล้วลอยเข้าไปใน Fjallsarlon ได้เลยล่ะ

คงเหมือนคนมาช่วงหน้าร้อนแล้วได้นั่งเรือไปใกล้ๆ ธารน้ำแข็งใน Jokulsarlon ล่ะมั้ง ต่างกันตรงทีนี่ไม่ต้องเสียตังไงล่ะ

ตรง Jokulsarlon เอง ก็มีจุดชมวิวหลากหลายแห่งไม่แพ้กัน ทั้งฝั่งซ้าย ฝั่งขวา ก่อนขึ้นสะพาน หลังลงจากสะพาน ลองแวะดูให้หมด แล้วเลือกเอาตามความชอบเลยละกัน แอบบอกว่าทางทิศตะวันตกของสะพานฝั่งขวา เดินขึ้นไปบนเนินแล้วมองลงไปในน้ำให้ดีๆ ใครมีกล้องส่องทางไกลเอาออกมาเตรียมไว้เลย เพราะจะมีน้องแมวน้ำหลายตัวว่ายน้ำและกระโดดตีกลังกาขึ้นมาให้เห็นกันบ่อยๆ ใครโชคดีอาจจะได้เห็นแมวน้ำมานอนอาบแดดอยู่บนก้อนน้ำแข็งด้วยก็ได้

ส่วนตัวแล้ว ฉันรู้สึกทึ่งกับหาดทรายสีดำที่มีก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กใหญ่เกยตื้นอยู่บนชายฝั่งเรียงรายกันเป็นแถว แถมเช้าวันที่สองยังมีหิมะโปรยปรายลงมาขณะที่ฉันเดินเล่นอยู่ริมหาดอีกต่างหาก


ลองคิดภาพตามดูสิ ก้อนน้ำแข็ง...บนทรายสีดำ...หิมะตก...ริมทะเล สี่อย่างที่ไม่น่าจะมาอยู่ในสถานที่และเวลาเดียวกันได้ กลับเกิดขึ้นพร้อมกันที่นี่ ณ Jokulsarlon

ธรรมชาติมันช่างยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน

**ข้อแนะนำสำหรับช่างภาพที่ตั้งใจจะไปถ่ายรูปก้อนน้ำแข็งบนหาดทรายดำ (ฝั่งขวา) ที่ Jokulsarlon**

เช็คตารางน้ำขึ้นน้ำลงให้เรียบร้อย ช่วงที่เหมาะที่สุดคือช่วงที่น้ำกำลังจะลงไปได้ครึ่งนึง เพราะจะมีก้อนน้ำแข็งให้เลือกเยอะ หลายรูปทรง และไม่ต้องคอยระวังน้ำคลื่นสาดใส่จนเปียกเท่าไหร่นัก ถ้าได้เป็นแสงเช้าๆ หรือเย็นๆ ก่อนพระอาทิตย์ตก จะสะท้อนน้ำผ่านน้ำแข็งกลายเป็นสีส้ม สีชมพู สวยงามมาก

แนะนำให้เตรียมบู้ทยางหนีน้ำท่วมไปด้วย! อันนี้สำคัญมากๆ (สำหรับช่างภาพ) เห็นกรุ้ปทัวร์ถ่ายรูปใส่มากันทุกคน จะได้เดินย่ำน้ำได้สะดวก พอคลื่นซัดมาเบาๆ ไม่ต้องรีบวิ่งหนี ในขณะที่ป๊าต้องมีให้ฉันคอยตะโดนส่งสัณญาณเตือน "ป๊า!!!! คลื่นมา!!!! วิ่ง!!!" ทุกๆ สิบนาที และกลับที่พักด้วยรองเท้าเปียกทุกครั้ง


You Might Also Like

0 comments

Flickr Images