Seydisfjordur—hidden gem in the east coast

จาก Jokulsarlon ลัดเลาะตามชายฝั่งทะเลตะวันออกไปเรื่อยๆ จะถึงเมือง (หรือหมู่บ้าน) เล็กจิ๋วชื่อว่า Seydisfjordur ...จุดหมายปลายทางของเราในวันน...

จาก Jokulsarlon ลัดเลาะตามชายฝั่งทะเลตะวันออกไปเรื่อยๆ จะถึงเมือง (หรือหมู่บ้าน) เล็กจิ๋วชื่อว่า Seydisfjordur...จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ช่างห่างไกลเหลือเกิน

นั่นเป็นสาเหตุที่เราออกเดินทางกันแต่เช้า ทำให้แผนที่จะไปแวะกินล็อบสเตอร์ที่เมือง Hofn ต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย

ช่างน่าเสียดาย...


เราเลี้ยวเข้าไปเดินเล่นชมวิวในเมือง Hofn กันสักพัก มันเป็นเมืองเล็กๆ มีภูเขาล้อมรอบทางทิศเหนือ และทะเลทางทิศใต้ (เรียกว่าถูกหลักฮวงจุ้ยรึเปล่าแบบนี้?) เรามาถึงกันช่วงน้ำลงพอดี หาดทรายสีดำๆ ของเมืองนี้เลยดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวสักเท่าไหร่ ดีนะที่ไม่มาแวะนอนเมืองนี้อีกคืน


อยากรู้จังว่าถ้าคนไอซ์แลนด์มาเห็นหาดทรายสีขาวจะรู้สึกว่ามันประหลาดรึเปล่า เห็นประเทศนี้มีแต่หาดทรายสีดำ

บนถนนเลียบชายฝั่งตะวันออกของเกาะเป็นวิวทิวทัศน์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ด้านซ้ายมือของเราเป็นเทือกเขาสูงเรียงรายกันเป็นแถว มีหิมะปกคลุมประปราย ในขณะที่ด้านขวาเป็นทะเลสีฟ้าสด มีเพียงถนนทางหลวงเส้นเล็กๆ ที่เราวิ่งอยู่มาคั่นกลางระหว่างทะเลกับภูเขาเท่านั้น


แม้เส้นทางอันยาวไกลนี้จะคดเคี้ยวไปบ้าง แต่ก็เป็นการนั่งรถที่ไม่น่าเบื่อเลย มองวิวสองข้างทางไปได้เรื่อยๆ อย่างมีความสุข

...จนกระทั่งเราเริ่มหลงทาง ความตื่นเต้นจึงเริ่มต้นขึ้น

navigator ที่ติดรถมา บอกให้เราใช้ถนนเส้น 96 เพื่อเดินทางไปยัง Seydisfjordur เช็คดูแล้วอ้อมกว่าขับตามถนนหมายเลข 1กว่าห้าสิบกิโลได้ ทั้งเปลืองน้ำมัน ทั้งเสียเวลาเลยนะนั่น เราเลยตัดสินใจเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง แล้วขับต่อไปบนถนนหมายเลข 1


ด่านแรกที่เจอคือถนนลูกรัง แต่วิวสองข้างทางมันสวยจนเราไม่มีเวลามากังวลกับถนนสักเท่าไหร่ อย่างน้อยมันไม่ได้อันตรายอะไร เราเช่ารถ 4Wมาด้วย อย่างมากแค่เปื้อนนิดหน่อยเหละ

แต่แล้วส่วนที่ 'อันตราย' ก็มาถึง เมื่อถนนเส้นนี้กำลังนำเราข้ามภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ แม้หิมะจะถูกกวาดออกจากถนนให้รถผ่านได้ แต่สองข้างทางนั้นมีหิมะเกือบเมตร แถมทางที่โค้งไปมายังดูน่าหวาดเสียวสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนลงไปยังหุบเข้าด้านล้างที่เราเพิ่งขับผ่านมา ตลอดทางที่ขับมากว่า 30 กิโล ยังเห็นมีรถสวนมาเลยสักคัน...

เบื้องหลังของถนนไร้หิมะ

เราตัดสินใจกลับรถ (ตามที่นาวิเกเตอร์บอกให้ทำตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา) แล้วขับย้อนลงมาสักห้านาที พอดีจังหวะเหมาะเจาะ มีรถสวนมาคันหนึ่ง เลยรีบลงไปถามเขาว่าทางเขาเนี่ย อีกไกลไหม อันตรายรึเปล่า พอคนขับบอกไม่มีปัญหา อีกแค่สิบกิโลกว่าเท่านั้น เราเชื่อเขาแล้วตัดสินใจกลับรถอีกครั้ง พอมีคนมาคอนเฟิร์มว่าทางเส้นนี้ไม่อันตรายอย่างที่คิด เราเลยหายกังวล และสามารถแวะจอดรถชมวิวกันได้อย่างสบายใจ ถึงได้เห็นว่าหุบเขาที่เราเพิ่งขับผ่านมา มันสวยแบบtake my breath away จริงๆ


สองข้างทางที่เป็นสีขาวโพลนไปหมดเริ่มกลายเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไป (ในไอซ์แลนด์) เราแวะเมือง Egilsstaðir กินมื้อเที่ยงง่ายๆ ที่ Subway แล้วซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตมาตุนไว้ เพราะนี่คือเมืองใหญ่ที่สุดท้ายก่อนถึง Akureyri จากนั้นเราจึงเลี้ยวซ้ายไป Seydisfjordur ผ่าน Scenic Route ที่ Lonely Planet ชื่นชมเอาไว้เยอะ

ที่เราเลือกไปพักเมืองเล็กๆ แล้วนอนโรงแรมแพงๆ ใน Seydisfjordur ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำแนะนำของ Lonely Planet อย่างเดียวเลยจริงๆ



แต่คัมภีร์นักเดินทางเล่มนี้ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะ Scenic Route สาย 93 และเมืองตากอากาศไซส์มินิแห่งนี้ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ

ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีหิมะจะสวยไหม แต่สิ่งที่เราไปเจอนั้นสวยมาก

ต้องเอาถุงพลาสติกมาคลุมรองเท้าก่อนเดินลงไปหน้าน้ำตก เพราะหิมะหนามาก

เราอยากจะจอดรถถ่ายรูปตลอด 27 กิโลเมตรที่ต้องขับเข้าไปถึง Seydisfjordur แต่ถนนแคบๆ และคดเคี้ยวช่างไม่เป็นใจเองซะเลย (แต่ก็ยังแอบจอดเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส) ช่วงใกล้ๆ ถึง ฉันตาไวเหลือบไปเห็น Gufufoss น้ำตกเล็กๆ ที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ มันคือครั้งแรกที่ได้เห็นน้ำตกปกคลุมไปด้วยหิมะ เราเลยตื่นตาตื่นใจ (และจอดถ่ายรูปกันนาน) เป็นพิเศษ น้ำตกถ้าไม่มองให้ดีๆ หรือมัวแต่มองไปทางอื่นอาจจะพลาดเอาได้ง่ายๆ เพราะเหมือนจะโดนโค้งบังพอดี ต้องหันหลังกลับไปนิดนึงถึงจะเห็น


ช่วงที่เราไปนั้น Seydisfjordur ดูไม่แตกต่างอะไรจากเมืองร้างเท่าไหร่นัก Hotel Aldan น่าจะเป็นที่พักแห่งเดียวที่เปิดให้บริการ ไม่ต่างอะไรกับ Skaftfell Bistro & Centre of Visual Art ที่มีเพียงพิซซ่าหลากหลายหน้าให้เลือกสั่ง ถ้ามาหน้าร้อนคงน่าจะอาหารอย่างอื่นด้วยนะ เพราะมีคนเขียนแนะนำอาหารที่นี่เอาไว้เยอะเลยล่ะ


ใครจะมาเที่ยวช่วงหน้าหนาวเหมือนกัน เมืองนี้เหมาะที่จะเป็นจุดแวะพักระหว่างขึ้นเหนือแบบสั้นๆ มาก เพราะไม่ได้มีอะไรให้ทำเยอะเท่าไหร่ แต่ก็น่ารัก น่าถ่ายรูปสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหิมะตกลงปกคลุม ตัดกับสีพาสเทลของบ้านหลายหลังในเมืองริมอ่าวแห่งนี้





You Might Also Like

0 comments

Flickr Images