คนอังกฤษเขาเรียนศิลปะกันยังไง—1

ไปเรียนมาได้เดือนกว่าแล้ว พอเห็นแนวทางการสอนศิลปะของคนที่นี่ เลยจะลองเอามาเล่าให้ฟัง ดูว่าการเรียนการสอนจะแตกต่างกับมหาลัยที่ไทยแค่ไหน (เปรี...

ไปเรียนมาได้เดือนกว่าแล้ว พอเห็นแนวทางการสอนศิลปะของคนที่นี่ เลยจะลองเอามาเล่าให้ฟัง ดูว่าการเรียนการสอนจะแตกต่างกับมหาลัยที่ไทยแค่ไหน (เปรียบเทียบกันเอาเองเลยละกัน เพราะฉันก็ไม่เคยเรียนมหาลัยที่ไทยเหมือนกัน)


คอร์สที่ฉันเรียนชื่อว่า Foundation of Art and Design ที่วิทยาลัย (College) ทางด้านศิลปะแห่งหนึ่ง ซึ่งทั้งคอลเลจจะสอนแต่ศิลปะ มีแต่วิชาศิลปะ ไม่มีวิชาอื่นให้เรียนเลย มีตั้งแต่ระดับ A-Level ขึ้นไปจนถึงปริญญาโท ที่ฉันเลือกเรียน Foundation ที่มหาลัยทางด้านศิลปะโดยเฉพาะก็เพราะว่าถ้าเรียนมหาลัยทั่วไป คอร์สนี้จะสำหรับเด็กต่างชาติเท่านั้น ซึ่งจะมีเรียนวิชาภาษาอังกฤษด้วย แต่คอลเลจของฉัน (และอาร์ตคอลเลจอื่นๆ ทั่วประเทศ) จะเป็นคอร์สที่มีเด็กอังกฤษเรียนเป็นส่วนมาก ต่างชาติมีแต่น้อย เลยไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ จัดศิลปะอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืนเลย แต่ถ้าเด็กต่างชาติคนไหนอย่างเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็มีติวเตอร์มาสอนให้อาทิตย์ละครั้ง

เรียกได้ว่าในบรรดาเพื่อนร่วมคอร์สกว่าสามร้อยคน มีต่างชาติอยู่สักสิบคนได้ ได้ใช้ชีวิตเหมือนนักเรียนอังกฤษ มีเพื่อนเป็นคนอังกฤษ สมกับที่ถ่อมาเรียนไกลถึงอังกฤษเลย

คอร์สนี้เป็นคอร์สที่ค่อยข้างสั้น (9 เดือน) เลยเรียนหนักและโหดกว่าคอร์สมหาลัยปกติ ฉันต้องไปคอลเลจทุกวัน (ยกเว้นวันพุธบางสัปดาห์เป็นวันทำรีเสิร์ช) ตั้งแต่เก้าโมงครึ่งถึงสี่โมงครึ่ง โดยจะมีการเช็คชื่อเข้าออกทุกครั้ง ย้ำว่าทุกครั้ง! แต่ใครจะมาเช็คชื่อตอนเช้า กลับไปนอนตีพุงเล่นที่หอ แล้วมาเช็คชื่อใหม่ตอนเย็นก็ได้นะ แต่จ่ายตังไปแล้วตั้งเยอะ...ต้องใช้ facilities ในมหาลัยให้คุ้มๆ หน่อย (ส่วนคนอังกฤษที่อายุต่ำกว่า 19 ปีเรียนฟรี หลายคนมีที่เรียนมหาลัยแล้ว แต่  defer ไปแล้วมาเรียน foundation เล่นๆ ก่อนปีนึง)

ช่วงอาทิตย์แรกๆ จะเรียนจากการปรับพื้นฐาน มีเวิร์คช้อปดรออิ้งสี่วัน ดรออิ้งของที่นี่แตกต่างกับไทยสุดๆ ไม่มีมาสอนให้แสงเงา วาดภาพเหมือน ต้องวัดสัดส่วนให้ถูกต้อง แต่มาถึงวันแรก สิ่งที่ให้ทำคือวาดเส้นตรงความยาว 10 เซนติเมตรไปเรื่อยๆ ตลอดสามชั่วโมง! แต่ไม่ใช่แค่เส้นตรงด้วยดินสอธรรมดา แต่ให้ลองใช้วัสดุอุปกรณ์ในการวาดหลายๆ อย่าง ทั้งดินสอแบบเข้ม ดินสอแบบอ่อน กดเบา กดหนัก ใช้ชอล์ค ถ่าน เทปกระดาษ ไม้ไอติม เชือก ด้าย หมึก กิ่งไม้ยาวๆ เข็ม และอื่นๆ เท่าที่จะคิดได้มาวาดเส้นตรงเหล่านี้ วาดโดยใช้สิ่งที่ไม่คุ้นเคย โดยใครจะทำอะไรยังไงก็ได้ ขอให้เป็นเส้นยาว 10 เซนติเมตร นอกจากนั้นไม่มีผิดถูก เป็นการกระตุ้นได้ลองสิ่งใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่ค้นพบวิธีวาดภาพด้วยเทคนิคใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร


หลังจากนั้นก็มีให้วาดภาพสิ่งของต่างๆ แต่ไม่เน้นว่าต้องเหมือน เพราะให้ลองวาดด้วยวีธีแปลกๆ อย่างใช้มือข้างที่ไม่ถนัดวาด ใช้ปากวาด วาดจากความทรงจำ สัมผัสวัตถุนั้นๆ แล้วหลับตาวาดจากความรู้สึก วาดโดยใช้เส้นตรงอย่างเดียว หรือวาดโดยมัดปากกาหรือดินสอไว้ที่ปลายไม้ยาวๆ เป็นต้น

บ้าป่ะล่ะ

เปรียบเทียบวันแรกกับวันที่สอง วันแรกยังเป๊ะอยู่เลย...

ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยกล้าทำอะไรบ้าๆ อย่างนี้ ด้วยความที่เคยแต่วาดภาพเหมือนแบบเป๊ะๆ สวยๆ ไปๆ มา เริ่มบ้าตามคนอื่น ปล่อยให้อารมณ์ติสต์เข้าแทรกซึม จนการวาดด้วยมือซ้ายและการหลับตาวัดกลายมาเป็นเทคนิคโปรดของฉันไปเลย

จบจากดรออิ้งแล้วเรามีโปรเจคต์สี่อันก่อนที่จะเลือกสายที่ถนัด โปรเจคต์แรกของเราชื่อ Action have consequences แต่ละคนจะได้ action กันคนละอัน เช่นปอกส้ม หั่นผัก หวีผม ส่วนของฉันคือ scrtaching an itch หรือเกาเวลาคัน... จาก action ทีไ่ด้ ฉันต้องสร้างรอยหรือสัญลักณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเกามาประมาณ 300 อัน (แค่ขีดๆ ดินสอนิดนึงก็เป็นหนึ่งอันแล้ว) และต้องใช้วัสดุหรือวิธีการวาดที่แตกต่างกันไม่ต่ำกว่า 10 อย่าง ฉันก็จัดเต็มเลย ทั้งเอาด้ายมามัดปลายไม้ เอาทิชชู่มาหุ้มปลายไม้ แล้วจุ่มหมึกวาด หมุนไปหมุนมา บ้าๆ บอๆ อะไรไม่รู้ พอวันที่สองให้เลือกมา 30 อันที่ชอบมากที่สุด แล้ววาดสัญลักษณ์เหล่านั้นขึ้นมาใหม่ พัฒนาให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของพวกคนอียิปต์ประมาณนั้น 


พอสองวันสุดท้ายเลือกออกมาแค่ห้าอัน แล้วพัฒนา final piece ประจำโปรเจคต์จากสัญลักษณ์ที่เราเลือก โดยจำทำเป็นวิดีโอ ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพพิมพ์ หรือชิ้นงานสามมิติก็ได้ เรียกได้ว่าให้อิสระกันเต็มที่เลย


จากรอยหยึกหยักของหมึกกับไม้ไอติม ฉันสามารถ(?)พัฒนามาเป็นที่วางดีวีดีโดยใช้ลวดเป็นโครงแล้วเอาเชือกมาสานกันได้ เขาให้เวลาทำแค่วันเดียว ฉันทำไปได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ต้องเอากลับไปทำต่อที่หอ ใช้เวลานานภูมิใจกับชิ้นนี้สุดๆ ไปเลย


โปรเจคต์ถัดมาเกี่ยวกับการใช้สี พวกเราถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มตาสีแดง เหลือง และฟ้า ทั้งอาทิตย์จะให้แต่อุปกรณ์ที่มีสีนั้นๆ ของฉันเป็นสีฟ้า ซึ่งยากที่สุด เพราะสีเหลืองกับสีแดงมีผักผลไม้ ของกินต่างๆ ให้เอามาเล่นไล่สีเยอะแยะ กลุ่มสีฟ้านี่มีแต่ผ้า กระดาษ พลาสติก ด้าย อะไรพวกนี้


สิ่งที่ต้องทำสำหรับโปรเจคต์นี้คือไล่สีค่ะ



โปรเจคต์นี้ฉันทำไปเรื่อยสุดๆ แถมสัปดาห์นั้นยังป่วยอีกต่างหาก เลยทำอะไรไม่รู้ชุ่ยๆ  งานพวกนี้เขาจะไม่มาตรวจปลายอาทิตย์นะ จะตรวจที่เดียวตอน Assessment ของแต่ละ Stage (แบ่งเป็นสาม Stage: Stage 1 เรียนเหมือนกันหมด Stage 2 เลือกว่าอยากไปด้านไหน มีเดีย สามดี วิจิตรศิลป์ หรือแฟชั่น พอ Stage  3 ไม่มีเรียนแล้ว เป็น Final Project อย่างเดียวเลย)


นอกจากโปรเจกต์อาทิตย์ละอันแล้ว ยังมีโปรเจกต์นอกเวลาที่ชื่อว่า 50 Photos ให้ถ่ายรูปภายใต้ธีม เช่นสี เส้นตรง วงกลม ประมาณนั้น โปรเจคต์นี้ตอนแรกดูเรื่องมาก ยุ่งยากสุดๆ แต่พอทำไปทำมา เจอธีมที่ใช่ เอามาวางรวมกันแล้วดูดี ก็สนุกดีเหมือนกัน


ธีมสีน้ำตาลไล่สี คือเดินๆ ไปเจอหมาใครไม่รู้ก็ขอเค้าถ่ายรูปตรงนั้นเลย (บอกไปว่าทำโปรเจคต์อยู่) ไปตลาดนัด มีบราวนี่ขายเยอะมาก อยากกินทุกรสแต่ก็ไม่มีตัง เห็มมันเป็นสีน้ำตาลไปขอถ่ายรูปเก็บไว้เลย แล้วเอาโปรเจคต์มาอ้าง

สังเกตได้ว่ามีรูปอาหารเยอะมาก...

เหลืออีกสองอาทิตย์ สองโปรเจคต์ แล้วก็จะต้องส่งงานทั้งหมดที่ทำมา พร้อมสมุดแพลนเนอร์ (ต้องคอยเขียนว่างานที่ทำวันนี้เป็นยังไง ดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน วิเคราะห์งานตัวเองแบบยาวๆ และใช้ในการแพลนงาน จดไอเดียต่างๆ) สเกตช์บุ้คที่บันทึกขั้นตอนการทำงาน และการทดลองต่างๆ ทั้งหมด และ critical journal ที่ใช้เขียนวิจารณ์งานคนอื่น

พูดง่ายๆ คือทุกวันนี้ นอกจากทำโปรเจคต์แล้วยังต้องคอยเขียนสมุดสามเล่นนี้ และฉันยังเขียนสมุดบันทึกส่วนตัวก่อนนอนอีกต่างหาก

...แล้วยังเขียนบล็อคอีกสองบล็อค!

ไว้เรียนไปอีกสักพักจะมาอัพเดตพาร์ทสองให้ฟังนะ



You Might Also Like

1 comments

  1. ชอบบบ เก่งมากเลยเฟิร์น <3

    ReplyDelete

Flickr Images